ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1458 ไพ่ตายอยู่ในมือ ใต้หล้าเป็นของข้า
ตอนที่ 1458 ไพ่ตายอยู่ในมือ ใต้หล้าเป็นของข้า
สายตาของเหยาปินจับจ้องฉู่หลิวเยว่เขม็ง ประหนึ่งต้องการล่วงรู้ความคิดในหัวทุกประการของนาง
หากดูจากตอนนี้แล้วล่ะก็ มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง
อย่างแรก ฉู่เยว่รู้ซึ้งถึงความสำคัญของป้ายไม้อันนี้ต่อคนในถ้ำปีศาจทมิฬแต่แรกอยู่แล้ว จึงจงใจฉวยโอกาสพูดเช่นนั้นต่อหน้าเขาเพื่อหาข้อแก้ต่างให้ตัวเอง
อย่างที่สอง ฉู่เยว่ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย เขาเพียงบังเอิญเจอคนของถ้ำปีศาจทมิฬที่แยกตัวออกมาคนเดียว ประจวบเหมาะกับโชคนำพาจึงได้รับป้ายไม้มา
แต่ว่าในช่วงเวลาระหว่างนั้น เขาเองก็มิอาจตัดสินได้แน่ชัดว่าสรุปแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
“ลำพังแค่คำพูดเจ้าคนเดียว พวกข้ามิอาจเชื่อคำแก้ตัวของเจ้าได้ลง ตัวเจ้ามีหลักฐานอันใดหรือไม่? หรือไม่ก็ ในตอนนั้นมีคนร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าด้วยหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยอย่างเถรตรง
“ตอนนั้นมีแค่ข้ากับเขาสองคนเท่านั้น มิมีผู้อื่นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย”
คนจำนวนมากมองหน้ากันไปมาตาปริบๆ
ตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ?
นั่นประหลาดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!
หากว่ามีคนคอยช่วยเหลือ การที่ฉู่เยว่จะมีชัยในการประมือครานี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่ว่าตอนนี้ตัวเขาเองก็ยอมรับหมดแล้วว่ามีแค่เขาคนเดียว…
ช่างปักใจให้เชื่อได้ยากโดยแท้!
สีหน้าเหยาปินยิ่งทวีความเย็นเยียบ มือกำป้ายไม้อันนั้นไว้แน่น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าพวกข้าคงต้องตรวจสอบกันอย่างละเอียดแล้ว!”
“ช้าก่อน”
ริมฝีปากของนางหยักยกน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยแกมหัวเราะเบาๆ ว่า
“แม้ว่าครานั้นข้าจะต่อสู้เพียงลำพัง แต่เรื่องนี้ข้ามีพยานรู้เห็น”
“พยานหรือ?”
ทุกคนในที่แห่งนี้รวมถึงเหยาปินล้วนตกตะลึงกันถ้วนหน้า
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการสู้ตัวต่อตัว จะไปมีพยานได้อย่างใด?
ในตอนที่ทุกคนกำลังสับสนงุนงงจนถึงขีดสุด ฉู่หลิวเยว่ก็ผินกายไปโบกมือเรียกหลัวเยี่ยนหมิงและจัวเซิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของผู้อาวุโสเหวินซี
“เยี่ยนหมิง จัวเซิง ต้องรบกวนพวกเจ้ามาเป็นพยานให้ข้าแล้ว”
คนทั้งสองที่ถูกเรียกชื่อกะทันหันทำสีหน้าเหลอหลา
จัวเซิงถึงกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
“พวกข้าหรือ?”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องกับพวกเขาสองคนได้อย่างใด
หลัวเยี่ยนหมิงที่ยืนอยู่ข้างกันจ้องเขม็งไปที่ป้ายไม้อันนั้น พลันทำท่าราวกับนึกอันใดบางอย่างออก
ยามครุ่นคิดจนแน่ใจแล้ว เขาก็สาวเท้าก้าวไปข้างหน้า
“นี่ รอข้าด้วย!”
จัวเซิงเห็นเขาก้าวฉับไปข้างหน้า ก็รีบรุดตามหลังไปติดๆ
ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม ในเมื่อฉู่เยว่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา ก็ย่อมต้องยื่นมือช่วยอยู่แล้ว!
ในไม่ช้า พวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่ข้างกายฉู่หลิวเยว่
สายตานับไม่ถ้วนจดจ้องมายังคนทั้งสอง ทำเอาพวกเขารู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
แม้พวกเขาทั้งสองจะเป็นอนุชนที่เติบใหญ่แลร่ำเรียนมาในตระกูลเก่าแก่ใหญ่โต นับได้ว่ามีประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง
แต่กับสถานการณ์ที่ต้องมาถูกจับจ้องจากบรรดาคนใหญ่คนโตในอาณาจักรเสิ่นซวี่เป็นตาเดียวเช่นนี้นั้น พวกเขายังไม่เคยประสบมาก่อน
กระทั่งจัวเซิงที่มักทำตัวร่าเริงพูดจาเรื่อยเปื่อย มาบัดนี้ยังสำรวมกิริยาท่าทีขึ้นมากกว่าปกติ
หลัวเยี่ยนหมิงใจกระตุกรัวเร็ว สองมือใต้ชายเสื้อคลุมกำเข้าหากันแน่น
เขาตวัดสายตามองฉู่หลิวเยว่โดยไม่รู้ตัว กลับพบว่าเด็กหนุ่มข้างกายมีสีหน้าเรียบนิ่ง มุมปากอมยิ้มน้อยๆ ท่าทีคล่องแคล่วไร้เรื่องหนักใจ
ประหนึ่งว่าตนมิได้รับผลกระทบจากแรงกดดันมหาศาลอันจับต้องมิได้จำพวกนี้แม้แต่น้อย
สภาพจิตใจของเจ้าเด็กนี่จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…
หลัวเยี่ยนหมิงลอบคิดอยู่ในใจ
ในสถานการณ์แบบนี้ ยังคงสงบสติอารมณ์ให้นิ่งเฉยแบบนี้อยู่ได้อีก!
เพียงแต่…
ได้ยินมาว่าการพบปะครานี้ เดิมก็เป็นเขาที่เสนอขึ้นมาแต่แรก
คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ย่อมมีความกล้าล้นเหลือมากพออยู่แล้ว!
“พวกข้าเป็นพยานให้ฉู่เยว่ได้ขอรับ”
หลัวเยี่ยนหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาทีละคำ
เขายกมือชี้นิ้วไปทางป้ายไม้ในมือเหยาปิน
“วันที่เขาได้รับป้ายไม้อันนี้มา พวกข้าเองก็ติดสอยห้อยตามไปด้วยพอดี เขาได้ของสิ่งนี้มาอย่างใดนั้น พวกข้าเองก็รู้ชัดแจ้ง สรุปแล้ว… ที่เขาพูดมาเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น”
หลังพูดจบ จัวเซิงก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ในที่สุด รีบพยักหน้าหงึกหงัก
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! พวกข้าเป็นพยานได้จริงๆ! ป้ายไม้อันนี้เป็นของที่เขาซื้อมาจากแผงข้างทางตอนที่พวกข้าไปเดินเล่นในเมืองฝางโจวด้วยกันครานั้น! ทั้งยังได้ลดราคาตั้งครึ่งหนึ่ง!”
หางตาของเหยาปินกระตุกกึก
ในใจฉู่หลิวเยว่ทั้งซาบซึ้งทั้งขบขัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าใครที่ยืนหยัดออกหน้าพูดแทนนางล้วนแต่เสี่ยงภัยร้ายใหญ่หลวง
ยามเห็นว่าผู้คนดูจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก หลัวเยี่ยนหมิงจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นขึ้นให้ฟังอีกรอบในทันที
แน่นอนว่าด้วยเพราะเขากับจัวเซิงมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องราวในส่วนที่ฉู่หลิวเยว่ถูกไล่ฆ่านอกเมืองจนเกิดการโรมรัน ดังนั้นจึงเล่าผ่านไปโดยคร่าวๆ เท่านั้น
ทว่าเมื่อฟังความทั้งหมดแล้ว มันก็ใช้เป็นข้อยืนยันคำพูดก่อนหน้าของฉู่หลิวเยว่ได้จริงๆ
ส่วนจัวเซิงที่ยืนข้างกัน คอยเสริมคำพูดให้สองสามประโยคอยู่บ่อยครั้ง
“… เรื่องราวที่ว่าก็เป็นเช่นนี้”
หลัวเยี่ยนหมิงพรูลมหายใจยาวเหยียด
“หากว่าทุกท่านมิปักใจเชื่อ วันนั้นยังมีผู้อาวุโสและบรรดาศิษย์อีกหลายท่านที่ร่วมออกตามหาฉู่เยว่พร้อมกับพวกข้า พวกเขาเองก็สามารถเป็นพยานให้ได้เช่นกัน”
ด้วยเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น พอพูดไปแล้วก็ทำให้ปักใจเชื่อได้ค่อนข้างมาก
ท่ามกลางบริเวณพลันเงียบกริบไร้สุ้มเสียง
ผ่านไปสักพักใหญ่ เหยาปินถึงได้ขมวดคิ้วพลางตวัดสายตามองฉู่หลิวเยว่
“หากพูดเช่นนี้ก็แปลว่า วันนั้นเจ้านั่นจงใจใช้ป้ายไม้อันนี้ล่อพวกเจ้าออกจากเมือง พวกเจ้าถึงได้สู้กัน?”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะรับ
“พูดตามจริง เมื่อก่อนข้ากับคนผู้นั้นเคยมีความแค้นต่อกัน แล้วข้าก็รู้ด้วยว่าเขาเป็นคนของถ้ำปีศาจทมิฬ ดังนั้นหลังจากที่เห็นป้ายไม้อันนี้ของเขาแล้ว ข้าจึงรีบไล่ตามไปโดยไม่รีรอ เพียงแต่หลังสู้กันเสร็จ ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าเขาแยกตัวออกจากถ้ำปีศาจทมิฬแล้ว”
“ความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ท่านบอกว่าข้าสังหารเขาน่ะ ไม่ถูกต้องเลยสักนิด เพราะเขาเป็นแค่วิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้น ไร้กายเนื้อไร้รูปร่าง ลำพังเรื่องที่ข้ารู้ก็คือเขาชิงร่างไปแล้วสองคน วันนั้นข้าแค่ขับไล่เขาไปเท่านั้น ไม่ได้ฆ่าให้ตายแต่อย่างใด และเพราะแบบนี้ ข้าถึงทิ้งป้ายไม้อันนั้นไว้ กะว่าคราวหลังหากมีโอกาสจะกลับไปค้นหา”
เหยาปินพลันหน้าถอดสี
คำอธิบายที่เชื่อมโยงต่อกันเช่นนี้ช่างไร้ช่องโหว่โดยแท้!
เขาเอ่ยงึมงำเสียงค่อย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ายังเหลือคำถามข้อสุดท้าย หากเจ้าตอบได้ ข้าจะเชื่อทุกคำพูดที่เจ้าพูดมาในวันนี้ แล้วก็เลิกสงสัยในตัวเจ้าด้วย!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“เชิญท่านขอรับ”
สายตาเหยาปินจดจ้องนางเขม็ง
“หากคนผู้นั้นเหลือเพียงวิญญาณ พละกำลังย่อมเหือดหายตามไปด้วย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาที่สามารถชิงร่างมนุษย์ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีระดับครึ่งเทพ อิงจากตามที่เจ้าพูด ตอนนั้น เจ้าน่าจะยังเป็นแค่จอมยุทธ์ระดับแปดกระมัง? เหตุใด… เจ้าถึงสู้ชนะได้?”
แม้จะต่างจากที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกไปบ้าง แต่ระหว่างจอมยุทธ์ระดับแปดกับระดับครึ่งเทพก็ยังคงมีช่องว่างใหญ่โตไม่เปลี่ยน!
ประหนึ่งมีร่องน้ำกว้างใหญ่คั่นกลางคอยแบ่งแยกทิ้งห่างไปแบบไม่เห็นฝุ่นก็มิปาน!
ฉู่เยว่ต่อสู้ตัวคนเดียวยังเอาชนะได้… สรุปแล้วทำได้อย่างใดกันแน่!?
อันที่จริง นี่เป็นคำถามที่ผู้คนในเหตุการณ์นี้ต่างสงสัยกันทั้งนั้น
ในระยะนี้ ชื่อเสียงของฉู่เยว่แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่ประหนึ่งไฟป่า
ซึ่งในอาณาจักรต่างก็มีข้อคาดเดามากมายถึงเรื่องพรสวรรค์และความสามารถที่แท้จริงของเขา
มีเรื่องหนึ่งที่ยืนยันได้คือฉู่เยว่เป็นอัจฉริยะหาตัวจับยากของจริง อีกทั้งเหมือนว่าจะมีพรสวรรค์ในด้านปรมาจารย์และเซียนหมออยู่ไม่น้อย
แต่อัจฉริยะก็คืออัจฉริยะ ไม่ได้แปลว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่ง!
การต่อสู้ครานั้นย่อมต้องตื่นตาตื่นใจเหนือความคาดหมายเป็นแน่!
ได้ยินดังนั้น ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่พลันหยักยกขึ้น แล้วหัวเราะร่าออกมา
หางตาแลปลายคิ้วต่างโค้งงอ นัยน์ตาประหนึ่งดาราส่องประกาย
เพราะการหัวเราะครานี้ ดวงหน้าที่เดิมทีนับได้แค่ว่าอ่อนโยนงามละมุนจึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด
นางเอ่ยอย่างจริงจังกอปรกับตรงไปตรงมาว่า
“เพราะว่า… ข้ามีไพ่ตายอย่างใดเล่า!”