ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1460 รังแกคน
ตอนที่ 1460 รังแกคน
สายตาของฝูงชนพร้อมใจกันจับจ้องไปยังจุดเดียว พลางกวาดสายตามองเจียงจื่อหยวนที่ปลอมตัวมาอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
หากดูจากภายนอก นี่ก็คือเด็กหนุ่มที่ดูธรรมดาในทุกด้าน
ทว่าลมปราณของร่างของเขาเป็นลมปราณของผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งเทพของแท้
เดิมทีทุกคนยังคงลังเลเกี่ยวกับเรื่องหาตัวแทนอยู่ไม่น้อย มาบัดนี้เมื่อเห็นว่ามีคนอาสาออกตัวต่างก็โล่งใจกันถ้วนหน้า
อีกอย่าง คนผู้นี้ก็เป็นคนที่ไป๋หลีฉุนพาติดตามมาด้วย จะมากน้อยอย่างใดทุกคนก็ยังคงไว้หน้าเขา
ในสายตาของคนบางกลุ่มนั้น ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นไป๋หลีฉุนที่คิดอยากสนับสนุนเด็กหนุ่มที่ตนเอ็นดูผู้นี้ก็ได้
อย่างใดเสีย หากสามารถเป็นจุดสนใจต่อหน้าคนใหญ่คนโตในอาณาจักรเสิ่นซวี่ที่เยอะถึงเพียงนี้ได้ ย่อมต้องเพิ่มชื่อเสียงให้ระบือไกลแน่!
ไม่มีใครคัดค้าน เรื่องนี้จึงนับว่าเตรียมพร้อมแล้ว
เจียงจื่อหยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า
ยามเดินผ่านไป๋หลีฉุนไป ไป๋หลีฉุนก็ยังไม่ลืมหันมาเตือนเสียงต่ำว่า
“เสี่ยวหลิว ต่อจากนี้… ระวังตัวด้วย”
เจียงจื่อหยวนคลี่ยิ้มพลางผงกศีรษะรับ
“ขอบคุณท่านประมุข”
เอ่ยจบ นางก็สาวเท้าก้าวไปข้างหน้าต่อ ก่อนจะเดินไปยังตำแหน่งตรงกลางลาน ประจันหน้ากับฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ไกลๆ
เหยาปินมองดูคนทั้งสองแวบหนึ่ง
เขาไม่รู้จักผู้ที่ชื่อว่าเสี่ยวหลิว แต่ได้รับความสำคัญจากไป๋หลีฉุนถึงเพียงนี้ได้ ย่อมต้องมีความสามารถอยู่บ้าง
เขาครุ่นคิดไปมา ก่อนจะกล่าวว่า
“การประลองครานี้สำคัญยิ่ง หวังว่าพวกเจ้าทั้งสองจะทุ่มเทแรงกายอย่างเต็มที่ ไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ ขอเพียงไม่บาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิต อย่างอื่น… ที่เหลือก็ทำตามใจเจ้าได้เลย!”
พวกเขาเข้าใจได้โดยพลันว่าการประลองครานี้จะต้องดุเดือดมากเป็นแน่!
ไป๋หลีฉุนจับจ้องไปยังบนสนาม ภายใต้ดวงหน้าแก่ชรามิได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา
มีเพียงดวงตาที่ขุ่นมัวทว่ายังคงปราดเปรื่องมิเปลี่ยนเผยแววให้เห็นว่าเขามิได้ไม่สนใจฉากตรงหน้าเหมือนดั่งที่แสดงออก
ความจริงแล้ว ที่เขาตอบรับเงื่อนไขข้อนี้ของเจียงจื่อหยวน เดิมทีก็เป็นแผนของตัวเองแต่แรกด้วย
… ก่อนหน้านี้เจียงจื่อหยวนถูกขับออกจากสำนักหลิงเซียว ชื่อเสียงถูกทำลายป่นปี้ ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่นี้กระทั่งหัวยังโงไม่ขึ้นด้วยซ้ำ
หากครั้งนี้นางสามารถชนะการประลองสนามนี้ได้อย่างสง่างามแล้วล่ะก็ จะต้องทำให้ผู้คนมองนางใหม่ได้แน่
เมื่อถึงตอนนั้น การเปิดเผยตัวตนของเจียงจื่อหยวนเองก็จะเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ถึงตอนนั้นพวกผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็จะพบว่า น่าเสียดายขนาดไหนที่พวกเขาทอดทิ้งเจียงจื่อหยวน เลือกสนับสนุนอุ้มชูเจ้าฉู่เยว่นั่น เรียกได้ว่าพวกเขาทำผิดพลาดมหันต์!
แผนการนี้ของไป๋หลีฉุนคำนวณมาได้ราบรื่นนัก ทั้งยังมองข้ามการประลองครานี้ไปโดยสิ้นเชิง เจียงจื่อหยวนจะใช้พลังครึ่งเทพต่อสู้กับอีกฝ่ายที่เป็นจอมยุทธ์ระดับแปด
เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่การประลองที่ยุติธรรมแต่แรกแล้ว
เจียงจื่อหยวนได้ชัยชนะเป็นเรื่องที่สมควรและปกติอยู่แล้ว!
แต่หากพ่ายแพ้ล่ะก็ เช่นนั้นก็จะไม่เหลืออันใดสักอย่าง!
…
ฉู่หลิวเยว่มองดูเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าพลางเลิกคิ้วน้อยๆ
“มิทราบว่าพี่ชายท่านนี้ชื่อแซ่อันใด?”
เจียงจื่อหยวนตอบเสียงเรียบ
“ข้ามาเพื่อสู้กับเจ้าเท่านั้น ชื่อของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”
ตัวตนนี้ของนางเดิมทีเป็นของปลอม พูดชื่อให้คลุมเครือเข้าไว้ยังพอทำเนา ยิ่งพูดลงลึกมากเท่าไร ก็ยิ่งถูกคนจับสังเกตได้ง่ายเท่านั้น
หรงซิวยังอยู่ที่นี่ หากเขาคิดจะตรวจสอบขึ้นมา… นางไม่คิดว่าตัวเองจะหาทางหนีออกไปได้
“อย่าเข้าใจผิด ข้าแค่รู้สึกว่า… เจ้าเหมือนกับคนที่ข้ารู้จักคนหนึ่ง เหมือนกันอยู่หน่อยๆ”
เจียงจื่อหยวนใจกระตุกวาบ ดวงหน้าพลันปรากฏแววกระวนกระวาย
“เวลาไม่คอยท่า พวกเรารีบสู้รีบจบเถอะ!”
ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้มพลางเอ่ยตอบ
“ได้”
คำพูดของนางยังไม่ทันเอ่ยจบ เจียงจื่อหยวนที่อยู่อีกฟากก็เปิดฉากโจมตีเข้ามา!
สองเท้าสับกันน้อยๆ เข่างอลงครึ่งหนึ่ง พลังปราณดั้งเดิมจากทั่วทั้งร่างมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว! ท่าทีดุดันนัก!
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา
ลมปราณสายนี้…
ต่างจากที่นางคาดคิดเอาไว้ไม่น้อย
ลมปราณของผู้ฝึกตนทุกคนล้วนมีความพิเศษในตัว ทันทีที่ลงมือ คนคุ้นเคยกันย่อมสามารถเดาได้ทันที
คราแรกนางนึกว่า…
ยามมองสีหน้าของฉู่หลิวเยว่ ในใจเจียงจื่อหยวนก็ลอบแค่นหัวเราะเย็นเยียบ
ในเมื่อตัดสินใจมาแล้ว ก็ย่อมตระเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน
ก่อนจะออกมา ไป๋หลีฉุนได้ใช้อาวุธโบราณปกปิดและเปลี่ยนกลิ่นอายลมปราณของนางเป็นที่เรียบร้อย
ต่อให้กำลังถ่ายโอนพลังปราณดั้งเดิม ยามที่ลงมือก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะถูกคนจับได้
อีกอย่าง มีอาวุธโบราณชิ้นนั้นคอยช่วยเหลือ พลังต่อสู้ของนางเองก็เพิ่มจากแต่ก่อนมาก
อย่างใดเสีย การประลองในวันนี้… นางต้องชนะอย่างแน่นอน!
พลังปราณดั้งเดิมสีเขียวน้ำฟ้าไหลพรั่งพรูออกจากกลางฝ่ามือนาง จากนั้นก็มารวมตัวกลายเป็นกงล้อขนาดใหญ่เบื้องหน้านางอย่างรวดเร็ว
ต่อจากนั้นนางก็ใช้มืออีกข้างดีดนิ้วคราหนึ่ง ไข่มุกส่องประกายแวววาวเม็ดหนึ่งก็ลอยออกไป!
เสียงดังก้องกังวานไปทั่ว ไข่มุกสีขาวสว่างขนาดเท่าผลลำไยเม็ดนั้นก็พุ่งชนใจกลางของกงล้อสีเขียวน้ำฟ้าพอดิบพอดี
สุ้มเสียงประหนึ่งหินหยกกระทบกัน ก้องดังเหลือจะเอ่ย
ทันใดนั้น ไข่มุกเม็ดนั้นก็เริ่มผลัดสีอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งว่าตกลงไปในน้ำหมึกก็มิปาน!
ในไม่ช้า กลุ่มแสงสว่างเรืองรองก็แผ่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างเร็วรี่จนแทบจะกลืนพื้นที่ครึ่งหนึ่งของกงล้อสีเขียวน้ำฟ้า จากนั้นแปรสภาพกลายเป็นกงล้ออันเล็ก
สีเขียวน้ำฟ้าแลสีขาวสว่างเรืองรองเกี่ยวพันรัดรึง ชวนสะดุดตาเป็นพิเศษ!
แรงกดดันมหาศาลจากมันใหญ่โตรุนแรงนัก!
ฝูงชนเห็นดังนั้น ล้วนแล้วแต่มีสีหน้าตกตะลึง
“พลังปราณศักดิ์สิทธิ์สองสาย!? เจ้าคนที่ชื่อเสี่ยวหลิวอันใดนี่ความสามารถน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ?”
“ใช่ที่ไหนเล่า! ในร่างของผู้ฝึกตนจะสามารถใช้พลังปราณศักดิ์สิทธิ์ได้แค่หนึ่งสายเท่านั้น! เห็นไข่มุกที่เขาหยิบมาโยนเข้าไปในกงล้อเมื่อครู่หรือเปล่า? พลังปราณศักดิ์สิทธิ์สีขาวสว่างสายนั้นน่าจะถูกบรรจุอยู่ในนั้นกระมัง? เพียงแค่เปิดใช้ ก็สามารถนำพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ภายในนั้นมาใช้เป็นของตัวเองได้แล้ว!”
“การใช้ไข่มุกเทพเม็ดนี้ก็แสนจะสะดวกสบาย เพียงแต่วิธีการหลอมมันขึ้นมาซับซ้อนยุ่งยาก คนจำนวนมากต่อให้บุกทะลวงกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพได้ ก็ใช่ว่าจะสามารถหลอมไข่มุกเทพของตัวเองขึ้นมาได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเสี่ยวหลิวผู้นี้หลอมมันขึ้นมาได้อย่างใด …”
“เจ้าโง่เอ๊ย! ไป๋หลีฉุนเอ็นดูเขาถึงปานนั้น ไข่มุกเทพเม็ดแค่นี้นับเป็นอันใดได้?”
“เอ้อ พอเจ้าพูดแบบนี้ พลังปราณศักดิ์สิทธิ์ของไป๋หลีฉุนก็เหมือนจะเป็นสีขาวสว่างนี่? หรือว่าไข่มุกเทพเม็ดนี้…”
นี่ย่อมเป็นไข่มุกเทพของไป๋หลีฉุนอย่างแน่นอน
การพาเจียงจื่อหยวนมาด้วยครานี้ เขาคิดแล้วคิดอีก รู้สึกว่าอย่างใดไม่น่าปลอดภัย
กันไว้ดีกว่าแก้ เขาจึงให้ของดีจำนวนไม่น้อยแก่เจียงจื่อหยวนเอาไว้ป้องกันตัว
ไข่มุกเทพเม็ดนี้ เมื่อเทียบกันแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใดเลยสักนิด
แต่ในสายตาของคนอื่น นี่กลับออกจะเกินไปมากทีเดียว
“นี่ไม่ยุติธรรมเลย!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มขึ้นมาจากหมู่ฝูงชน
“ไป๋หลีฉุนเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับไหนแล้ว เขาใช้ไข่มุกเทพที่หลอมขึ้นมาจากพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองที่ต่อให้เทียบกับผู้แข็งแกร่งระดับเทพคนอื่นก็นำหน้าไปไม่รู้ตั้งกี่ขุม! เสี่ยวหลิวผู้นั้นเพิ่งเริ่มลงมือก็เรียกของสิ่งนี้ออกมาแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการรังแกคนหรอกหรือ?”
“นั่นสิ! เดิมทีก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งเทพปะทะจอมยุทธ์ระดับแปด มาบัดนี้ยังจะใช้แหล่งพลังภายนอกอีก… เฮ้อ กลัวตัวเองจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้หรือไร?”
“จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ได้หนักหนาเหมือนอย่างพวกเจ้าพูดกันเสียหน่อย… เดิมทีนี่ก็เป็นการประลอง มีใครพูดบ้างว่าทำแบบนี้ไม่ได้?”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ข้ายังต้องรักษาเกียรติของตัวเองอยู่หนา! เอาพลังระดับครึ่งเทพมาสู้กับจอมยุทธ์ระดับแปดไม่พอ ยังคิดฉวยโอกาสเอาเปรียบอีก… เฮ้อ”
บรรดาฝูงชนทั้งหลายแม้จะมาหาเรื่องฉู่หลิวเยว่ แต่สุดท้ายแล้วก็ล้วนแต่มีเกียรติแลคุณธรรมสูงส่ง
คนที่อยู่เบื้องสูง สำคัญที่สุดคือต้องรักษาเกียรติของตน
พวกเขาที่รวมตัวกันมาเค้นถามเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าขวบผู้หนึ่ง นี่ยังพออธิบายถูไถไปได้ว่าเพื่อสืบหาความจริง
ทว่าการประลองที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้านี้เล่า?
นี่ไม่ใช่การรังแกคนหรอกหรือ?
เสียงกระซิบกระซาบที่ดังแว่วลอยเข้าหู ทำให้เจียงจื่อหยวนรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่ไม่น้อย
ในใจนางงุ่นง่านยิ่ง จึงเร่งโคจรพลังปราณภายในร่างให้เร็วกว่าเก่า!
“กงล้อสุริยันแผดเผานภาคราม!”