ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1464 วัดกันอีกครั้ง
ตอนที่ 1464 วัดกันอีกครั้ง
เพราะความวิตกแลหวาดกลัว ทำให้นางตะโกนขึ้นด้วยความเร็วไว จนลำคอแทบแตก
ราวกับรีบอ้อนวอนขอความเมตตาราวถูกเชือกรัดคอ
หลายคนส่งเสียเย้ยหยัน พลางทำหน้าตาเหน็บแนม
จบแล้วหรือ?
ไม่สมกับการประลองเลยสักนิด
ดูๆ แล้วไป๋หลีฉุนก็แค่ชายชราไร้น้ำยา
อีกอย่าง สิ่งที่หรงซิวกล่าวเองก็หนักแน่นแลมีเหตุผลมากพอ
… เห็นได้ชัดว่าผู้กุมอำนาจสูงสุดของพระราชเมฆาสวรรค์ทั้งสองท่านนี้ มีทัศนคติแตกต่างกันมากโข
หากจะกล่าวว่าทั้งสองคนเป็นปรปักษ์กันนั้น คงไม่เกินจริง!
เพียงแต่ตอนนี้ พวกเรายังไม่รู้สันดานโดยเนื้อแท้ของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
ทว่าวันหนึ่งพวกเขาอาจได้รู้…
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าหงึกหงึกอย่างพอใจ พลันเบนสายตาไปมองเหยาปิน
“ท่านอ๋องเหยาขอรับ มิทราบว่าผลการประลองในครานี้ จะทำให้ท่านพอใจหรือไม่?”
เหยาปินจ้องมองฉากตรงหน้าเขา ในใจพลันเปี่ยมไปด้วยความสับสน
สถานการณ์ทั้งหมดกลับตาลปัตรภายในเวลาอันสั้น
เดิมทีเขาคิดว่าวาทกรรมเหล่านั้นของฉู่เยว่ เป็นเพียงข้อแก้ตัวเพื่อซื้อเวลา ไร้แก่นสารราวกับเด็กไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า!
แต่แล้วเขากับถูกความจริงตบหน้าดังฉาด ครั้นสบเข้ากับดวงตาดำแวววาวคู่นั้น ใบหน้าของเขาก็ร้อนฉ่าราวถูกไฟเผา
แต่มิอาจโต้แย้งอันใดได้
ก่อนเห็นผลการประลอง ใครมันจะเชื่อว่าฉู่เยว่จักชนะ?
“เจ้า…”
เหยาปินบีบคลายอุ้งมือที่กำลังเกร็งแน่นของตนเป็นจังหวะ และสุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
“ข้าเชื่อในสิ่งที่เจ้าอธิบายก่อนหน้านี้แล้ว และยินดีปฏิบัติตามสัญญา จากนี้ไป ข้าจะไม่สงสัยเรื่องเจ้ากับถ้ำปีศาจทมิฬอีกแล้ว!”
เหยาปินใช้เวลาพักใหญ่ในการยอมรับความจริง แต่ก็ทิ้งอคติไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายเช่นกัน
จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าออกมาด้านหน้า แล้วประสานหมัดแสดงความนับถือต่อฉู่หลิวเยว่
“ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจเจ้าผิดหลายอย่าง ต้องขอโทษจากใจจริงๆ”
ฉู่หลิวเยว่เอียงศีรษะเล็กน้อย พลันระบายยิ้มกว้าง
“มิเป็นไรขอรับ ท่านอ๋องเหยา ข้ารู้ว่าท่านเพียงต้องการค้นหาความจริง และโชคดีของข้าที่ใช้โอกาสนี้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องดียิ่ง ท่านอย่าได้กังวลไปเลย”
ก่อนหน้านี้เหยาปินแสดงท่าที่ก้าวร้าวใส่นาง เพราะในใจเขาเชื่อว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับถ้ำปีศาจทมิฬ
มณฑลแห่งแสงอินทนิลและถ้ำปีศาจทมิฬมีความแค้นต่อกันอย่างฝังลึกเข้าเลือดเข้าเนื้อ จึงไม่แปลกที่เขาจะตอบสนองเช่นนี้
แต่ที่หายากก็คือ หลังจากรู้ว่าตนเข้าใจผิด เขายังสามารถกล่าวขอโทษนางต่อหน้าสาธารณชนได้
สิ่งนี่แสดงให้เห็นถึงการปล่อยวางอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวางแลบริสุทธ์โดยแท้
ฉู่หลิวเยว่เริ่มประทับใจในตัวคนผู้นี้
หากในอนาคตต้องประมือกับถ้ำปีศาจทมิฬอีกครา นางน่าจะร่วมมือกับพวกเขาได้…
แน่นอนว่ามันคือเรื่องของอนาคต
ความคิดนี้แวบขึ้นมาในหัวของฉู่หลิวเยว่ พลันถูกนางระงับไว้อย่างรวดเร็ว
นางเชิดหน้าขึ้น แล้วสะบัดข้อมือเบาๆ!
ชิ้ง!
กระบี่เล่มยาวสอดเข้าไปในฝัก!
แสงเจิดจ้าส่องประกาย กระบี่ชื่อเซียวพลันหวนคืนสู่อุ้มมือของนาง
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเบาๆ พลางยิ้มเยาะอยู่ในใจ
วันนี้นางชักกระบี่ชื่อเซียวออกมาแล้ว ย่อมเกิดปัญหามากมายตามมาแน่นอน
เพียงแต่ยามนี้ คนเหล่านี้เพียงเห็นแก่หน้าของสำนักวิชา จึงควบคุมความกระหายของตนไว้ได้
แต่หลังจากนี้… มันอาจไม่เป็นเช่นนั้น
“ก็แค่ยืมพลังปราณจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ…”
เสียงอันแผ่วเบาสายหนึ่ง ดังโพล่งขึ้น
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเจียงจื่อหยวนที่เพิ่งหันกลับและกำลังจะถอยออกไป
ขาเรียวก้าวเท้าออกไปขวางทางอีกฝ่ายไว้
“ประเดี๋ยวก่อน”
หัวใจของเจียงจื่อหยวนเต้นระส่ำดัง “ตุบตุบ” ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฉู่หลิวเยว่ช้าๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยร่องรอยของความตื่นตระหนก
“จะ เจ้าคิดจะทำอันใด?”
“ข้าต่างหากที่ควรจะถามเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มให้นาง
“ก่อนท้าใครต้องหัดเผื่อใจไว้บ้าง เจ้าเองก็ใช่จะไม่รู้? ยามนี้ข้ายังอยู่ที่นี่ เจ้าพูดออกมาเช่นนั้น… หมายความว่าอย่างใดกัน?”
ทุกคนหันกลับมามองทันที
เจียงจื่อหยวนเริ่มลนลานจนอยู่ไม่สุข…
ประสบการณ์อันเลวร้ายของการต่อสู้เมื่อครู่ก่อน ได้ทิ้งเงาดำอันหนักอึ้งไว้บนตัวนาง
นางแทบไม่กล้าสู้หน้าฉู่หลิวเยว่อีกต่อไป
แต่ในใจก็ยังคงดื้อรั้น
เจียงจื่อหยวนหลบเลี่ยงสายตาอันน่ากลัวของฉู่หลิวเยว่ พลันก้มศีรษะลง
เมื่อเผชิญกับการซักถามของฉู่หลิวเยว่ เจียงจื่อหยวนก็ถึงกับเข่าอ่อน
นางพ่ายแพ้ และไม่สบอารมณ์อย่างมาก
ทุกคนต่างยกย่องฉู่เยว่และดูถูกนาง ราวกับพวกเขาห่างชั้นกันเป็นพันลี้
แต่มัน… ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย!
หากนางมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ คิดว่านางจะแพ้หรือ?
นั่นทำให้เจียงจื่อหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเลือกพูดในสิ่งที่ตนคิด
“ขะ… ข้าแค่พูดความจริง!”
นางกัดฟันกรอด
“หากเจ้าไม่ได้ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อสู้กับข้า ผู้ใดจักแพ้จักชนะ ย่อมเห็นๆ กันอยู่!”
ทั่วทั้งจัตุรัสพลันเงียบกริบ
ทุกคนล้วนฟังออกว่าภายในคำพูดนี้ เต็มไปด้วยความบาดหมางแลแค้นเคืองใจ
ไป๋หลีฉุนอ้าปากพะงาบ เดิมทีเขาต้องการจะหยุดนาง
แต่กลับต้องเปลี่ยนใจและกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป
เพราะความจริง เขาเองก็คิดเหมือนนาง
เขาดูออกว่าความแข็งแกร่งของฉู่เยว่นั้น อยู่ในระดับที่มากกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกัน ทว่ามันไม่ได้มากมายจนน่าตกใจแต่อย่างใด
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อต่างหาก!
ฉู่หลิวเยว่จ้องหน้าเจียงจื่อหยวนอยู่พักหนึ่ง พลันหยักยกมุมปากขึ้นเบาๆ
“ถ้าเจ้าคิดอย่างนั้น… เช่นนั้นเรามาประลองกันอีกรอบหรือไม่?”
ครั้นลั่นวาจาออกไป ทุกคนพลันตกใจอีกครา!
เจียงจื่อหยวนเงยหน้าขึ้นมองนางทันที ราวไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เจ้า… เจ้าว่าอย่างใดนะ?”
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็เปลี่ยนวิธีการประลอง จนกว่าเจ้าจะพอใจแล้วกัน”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มกว้าง หากแต่คำพูดนั้นกลับเฉียบคม เสมือนมีดคมแทงทะลุหัวใจ!
ความคิดที่ดูเรียบง่ายนี้ ทำเอาหัวใจของเจียงจื่อหยวนร้อนผ่าวไปด้วยเพลิงโทสะ จนแทบจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ!
อีกฝ่ายมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ นางสู้ไม่ได้หรอก
แต่ถ้าเป็นการสู้ด้วยมือเปล่า มีหรือนางจะไม่ชนะ?
“ทว่าหากเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่ระงับความแข็งแกร่งของตัวเองอีกต่อไป”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวเสริม
จอมยุทธ์ระดับเก้าหรือ?
เจียงจื่อหยวนไม่หรอก!
นางรีบตอบกลับทันที ราวกลัวว่าฉู่หลิวเยว่จะเหิมเกริมไปมากกว่านี้
“ตกลง! เช่นนั้นข้ารับคำท้า!”