ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1487 ใครกล้ารังแกนาง?
ตอนที่ 1487 ใครกล้ารังแกนาง?
รับนางเป็นเจ้านายรึ?
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ บรรดาผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นเริ่มอยู่ไม่สุข
“เจ้าว่าอย่างใดนะ? หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ยอมรับตัวเจ้าแล้ว?”
บุรุษผู้หนึ่งที่ดูอายุอานามไม่เกินสามสิบปีโพล่งถามออกมาอย่างอดใจไม่อยู่
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับอย่างเป็นธรรมชาติ
“ทุกครั้งที่หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัว มันก็จดจำเจ้านายของมันได้อยู่แล้วมิใช่หรือ?”
ในสถานการณ์ปกติแล้ว สมบัติที่อยู่ระดับเดียวกับหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์นั้นล้วนแต่คัดเลือกเจ้านายด้วยตัวเองทั้งสิ้น
หากได้รับการยอมรับจากมันก็ย่อมเป็นเจ้าของมันไปโดยปริยาย
หากว่าไม่ เช่นนั้นต่อให้เจ้าพยายามจนสุดกำลังมากเพียงใด ก็เรียกได้ว่าไร้ประโยชน์
ทุกคนต่างพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
พวกเขาต่างคิดแค่ว่าต้องตามที่อยู่ของหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
ยอมรับเป็นเจ้านายแล้วอย่างนั้นรึ…
มันยอมรับคนเป็นเจ้านายไปแล้ว!
เช่นนั้นพวกเขาจะดิ้นรนเสาะหามันไปเหตุใดกัน!
“เดี๋ยวก่อน! ที่เจ้าบอกว่าหลายปีก่อนเจ้าได้รับหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์มา มีหลักฐานอันใดหรือไม่?”
ใครอีกคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ใครจะไปรู้เล่าว่าเจ้ามิได้พบสมบัติชิ้นนี้ในหุบเขาลึกลับนั่นเข้าจริง?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะอย่างอดไม่ได้
“เรื่องพวกนี้มีอันใดให้ต้องโกหกกัน? พูดตามตรง ที่ข้าทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์สองตัวได้ก็เพราะหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์มีส่วนช่วยข้าอย่างมาก! หากพวกท่านไม่เชื่อ…เช่นนั้นข้าก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
ฝูงชนต่างตะลึงงัน
จริงด้วย เกือบลืมไปเลยว่าซั่งกวนเยว่ทำพันธะกับอสูรศักดิ์สิทธิ์สองตัวจริงๆ!
หงส์ทองคำหนึ่งตัว อินทรีสามตาหนึ่งตัว แล้วยังเป็นหัวหน้าเผ่าอินทรีอีก!
เริ่มแรกพวกเขาเองก็สงสัย ด้วยเพราะอสูรศักดิ์สิทธิ์สองตัวมิอาจทำสัญญากับมนุษย์คนเดิมได้ในเวลาเดียวกัน
หากมีหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะก็ นี่ก็เพียงพอจะใช้อธิบายได้กระจ่างชัดแล้ว…
อย่างไรเสีย มันก็ถือเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์!
“นั่น…นั่น”
ผู้คนจำนวนมากต่างสบตากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทั้งมิรู้ด้วยว่าควรถามจากตรงไหนต่อดี
ในตอนนั้นเอง จินตี้ก็ค่อยๆ กลับมาหายใจได้คล่องในที่สุด เขาโกยลมหายใจเข้าปอดพลางเอ่ยถามว่า
“ในเมื่อหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์อยู่กับเจ้านานแล้ว เช่นนั้นเจ้าต้องรู้แต่แรกแล้วสิว่าข่าวที่ได้จากบุพกาลชายแดนเหนือเป็นข่าวปลอม?”
ทุกคนต่างพร้อมใจกันตื่นตะลึง
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่สงบนิ่ง นางผงกศีรษะรับ
“ถูกต้อง”
คำพูดนี้ของนางทำเอากระทั่งบรรดาผู้อาวุโสจากสำนักหลิงเซียวนั่งไม่ติดที่กันบ้างแล้ว
นางหนูนี่รู้แต่แรกแล้วอย่างนั้นรึ?
เช่นนั้นนาง…
“ดังนั้นที่ข้าตัดสินใจร่วมทางไปกับทุกคนในสำนักเมื่อตอนนั้น ก็เพื่อไปดูว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
มาถึงตอนนี้แล้ว เรื่องราวมากมายที่เกิดก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป
ฉู่หลิวเยว่จึงเลือกที่จะเผยไพ่ในมือของตนให้พวกเขาดูอย่างตรงไปตรงมา
“เพียงแต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าป่วยขึ้นมากะทันหันจึงต้องรออยู่ที่สำนัก ไม่สามารถตามพวกเขาไปด้วยได้”
“โชคยังดีที่ต่อมาบุพกาลชายแดนเหนือเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ข้าเลยมีโอกาสเดินทางไปที่นั่นเป็นครั้งที่สอง อีกทั้งครานั้นข้าเองก็เข้าไปที่นั่นจริงๆ เรื่องนี้ข้าเดินทางไปพร้อมกับผู้อาวุโสของสำนักจึงสามารถพิสูจน์ได้”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงผงกศีรษะรับอย่างรีบร้อน
“มิผิด มิผิด! ตอนนั้นเดิมทีข้าเองก็ไม่เห็นด้วยมาตลอด แต่แม่หนูนี่หัวแข็งนัก ข้าเลยต้องพานางไปด้วย!”
ตอนนั้นเขาคิดเพียงว่านางคงอวดดีตามประสาเด็กหนุ่ม ขี้สงสัยอยากรู้อยากเห็นไปตามเรื่อง ไหนเลยจะเดาได้ว่าข้างในจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากมายปานนี้!
ฉู่หลิวเยว่หันไปส่งรอยยิ้มซาบซึ้งให้ผู้อาวุโสฮวาเฟิง
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสีหน้าล่อกแล่กไปมา รีบเบี่ยงศีรษะหลบอย่างรวดเร็ว มือก็กำพนักแขนข้างๆ ไว้แน่น
นี่…
นี่จะเหมือนกันเกินไปหน่อยแล้ว!
เขานวดหว่างคิ้วของตนพลางเอ่ยย้ำเตือนกับตัวเองไม่หยุด…
สองคน!
ครานี้ ฉู่หลิวเยว่กลับมิได้สนใจความยุ่งเหยิงในใจของผู้อาวุโสฮวาเฟิงแม้แต่น้อย
นางตวัดสายตามองไปทางฝูงชนอย่างเปิดเผย
“ตอนนั้นเดิมทีข้าคิดจะมุ่งหน้าตรงไปบุพกาลชายแดนเหนือ หลังตรวจสอบเรื่องราวชัดเจนแล้วค่อยหาวิธีแก้ปัญหา ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน”
บุรุษอายุอานามประมาณสามสิบที่เอ่ยปากขึ้นคราแรกตะโกนเสียงดังลั่นอย่างอดรนทนไม่ไหว
“คาดไม่ถึง? จะให้พวกเรายอมปล่อยผ่านไปแต่โดยดีแค่เพราะคำพูดประโยคเดียวของเจ้าอย่างนั้นหรือ? ซั่งกวนเยว่ เจ้าก็รู้ว่าหากเจ้าบอกให้เร็วกว่านี้สักนิด ก็คงไม่มีคนตายเยอะขนาดนี้!”
สีหน้าฉู่หลิวเยว่เย็นยะเยือกลง นัยน์ตาคมกริบดุจใบมีด
“ความหมายของใต้เท้าคือต้องการให้ข้ารับผิดชอบการตายของคนพวกนั้น?”
“อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ต้องรับผิดชอบครึ่งหนึ่งมิใช่หรือไร!”
เห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายค่อนข้างกระฟัดกระเฟียดอยู่มากทีเดียว
ฉู่หลิวเยว่พลันหลุดหัวเราะออกมา
“เกรงว่าข้ามิอาจเห็นด้วยกับคำพูดนี้ของใต้เท้าได้”
นายกวาดสายตามองทุกคนด้วยแววตาคมกริบดุจคมมีดน้ำแข็งที่แทงเข้ากลางใจแต่ละคนโดยตรง!
“พวกท่านมุ่งหน้าไปยังบุพกาลชายแดนเหนือล้วนเพื่อชิงสมบัติกันทั้งนั้น เรื่องนี้ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับข้ากระมัง?”
ความเป็นความตายของพวกเขาเกี่ยวอันใดกับนางกัน?
“อีกอย่าง ต่อให้ตอนนั้นข้าพูดออกไป พวกท่านจะเชื่อคำข้ากันรึ?”
นางถามกลับน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาคนเหล่านั้นอับจนคำพูดไปตามกัน
พวกเขาย่อมมิเชื่อคำพูดของลูกศิษย์ทั่วไปจากสำนักหลิงเซียวอยู่แล้ว
อีกอย่างยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์แล้วด้วย
สมบัติเลอค่าเช่นนั้นอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าหนาว…ใครๆ ต่างก็คิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันกันทั้งนั้น!
แล้วจะไปมีคนยอมฟังได้อย่างไร?
ฉู่หลิวเยว่ฉีกยิ้มกว้างไปจนถึงหลังหู นางยักไหล่พลางหัวเราะแผ่วเบา
“หลักการแหวกหญ้าให้งูตื่น พวกท่านน่าจะเข้าใจมันมากกว่าข้ากระมัง?”
คิดให้นางเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อกลุ่มคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันมาก่อนน่ะหรือ?
กระทั่งตัวพวกเขายังไม่ทำกันเองเลยด้วยซ้ำ!
“ตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่ข้าจะช่วยมีเพียงคนจากสำนักหลิงเซียวเท่านั้น ความเป็นความตายของผู้อื่นมิเกี่ยวข้องอันใดกับข้า!”
คำพูดประโยคนี้ดังสนั่นก้องกังวาน
ทุกคนต่างเงียบกริบกันไปชั่วขณะ
ยามได้ยินการตัดขาดความเกี่ยวข้องเช่นนี้ กลับทำให้ผู้คนพอเข้าใจได้ขึ้นมาชะงัด
ทันใดนั้นก็มีคนเอ่ยปากขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“เจ้าบอกว่าเจ้ามิมีความเกี่ยวข้องกับถ้ำปีศาจทมิฬ ทั้งยังบอกอีกว่าหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ยอมรับเจ้าเป็นเจ้าของตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว เช่นนั้นเหตุใดท่ามกลางคนที่มีความสามารถเก่งกาจมากมายปานนี้ถึงมีแค่เจ้าที่สามารถเข้าไปในเขตแดนลับกลางหุบเขานั่นได้? ซั่งกวนเยว่ ในร่างกายของเจ้ามิได้ซ่อนความลับที่บอกผู้อื่นไม่ได้ไว้จริงๆ อย่างนั้นหรือ!”
ฉู่หลิวเยว่หันมองตามต้นเสียง
เป็นบุรุษผู้หนึ่งดูแล้วอายุอานามประมาณสี่สิบ ดวงหน้าธรรมดาทั่วไป หากแต่แววตากลับอึมครึมนัก
ฉู่หลิวเยว่กำลังจะเอ่ยปากตอบ พลันได้ยินเสียงระเบิดหัวเราะดังก้องกังวานประหนึ่งอัสนีบาตฟาดลงผืนดินเสียงดังลั่นมาจากที่ขอบฟ้าไกลๆ!
“นางเป็นทายาทตระกูลซั่งกวนของข้า ย่อมต้องมีนางเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในอาณาเขตของตัวเองได้!”
สุ้มเสียงนี้แผ่ออกเป็นวงกว้างดูคลุมเครือ ทว่าเสียงที่ลอยหูกลับฟังดังชัดเจนหาสิ่งใดเปรียบมิได้!
บรรดาฝูงชนต่างตื่นตกใจยิ่ง พากันหันศีรษะกลับไปมองพร้อมกัน!
ใจของฉู่หลิวเยว่เองก็กระตุกอย่างรุนแรงเช่นกัน!
นางหันมองไปตามต้นเสียง ก่อนจะจ้องตามทางนั้นเขม็ง
เงาร่างสูงใหญ่กำยำร่างหนึ่งกำลังพุ่งทะยานมาจากเส้นขอบฟ้าอยู่รำไร!
เขาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวขนกากำลังก้าวเดินอยู่บนผืนฟ้ากว้าง หนึ่งก้าวทะยานถึงพันลี้!
“วันนี้ตัวข้าอยู่ที่นี่ ขอดูหน่อยสิว่าใครจะกล้ารังแกนาง!”
แรงกดดันมหาศาลรุนแรงเสียจนคนพากันตะลึงพรึงเพริด!