ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1550 เขามาถึงแล้ว!
ตอนที่ 1550 เขามาถึงแล้ว!
…………….
ฉู่หลิวเยว่พลันเอ่ยขึ้นมาว่า
“เอากระบี่ชื่อเซียวมาให้ข้า”
หรงซิวมุ่นคิ้วพลางเหลือบตามองคนในอ้อมอก
แน่นอนว่าเขารู้ว่านางคิดจะทำอะไร แต่ภายใต้สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เขาจะไปตอบรับได้อย่างไรกัน?
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะเบาๆ
“คนที่มันต้องการตัวคือข้า”
อีกอย่างปัญหาเรื่องนี้เดิมก็นับว่าเป็นเรื่องที่นางก่อขึ้นมาเอง
ให้นางเป็นคนแก้ไขย่อมเป็นเรื่องสมควรแล้ว
สุ้มเสียงของนางแผ่วเบานัก ทว่าสายตากลับยืนกรานหนักแน่นยิ่ง
คนทั้งสองสบสายตากันพักหนึ่ง แววตาของหรงซิวประหนึ่งมีคลื่นยักษ์ถาโถมอยู่มิปาน
ราวกับเวลาผ่านไปเนิ่นนาน หากแต่ก็เหมือนเพียงเสี้ยววิ
บนดวงหน้าใสมากเสน่ห์ชวนหลงของหรงซิวพลันปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บางเบาขึ้นมาแวบหนึ่ง
ริมฝีปากบางแดงก่ำหยักยกขึ้นน้อยๆ ดูแล้วงดงามยิ่ง ทั้งยังแฝงเสน่ห์ชวนลุ่มหลงบางอย่างที่หาคำบรรยายไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะ
ปกติบุรุษผู้นี้มักวางท่าเย็นชาและสูงส่ง ทว่าครานี้ รอยยิ้มนี้กลับดูดั่งเทพคล้ายปีศาจ แสนยากจะคาดเดา
ชึ่บ!
ประกายเย็นเฉียบเคลื่อนผ่าน เขายื่นกระบี่ชื่อเซียวส่งให้ฉู่หลิวเยว่
“รอเจ้ากลับมา ถ้าเจ้าไม่กลับ ข้าจะไปตามเจ้า”
สุ้มเสียงของเขาใสกระจ่าง ทั้งยังนุ่มทุ้ม
ฉู่หลิวเยว่รับกระบี่มา
“รอข้านะ”
…
ฉู่หลิวเยว่หมุนกายหันกลับมา
บริเวณหว่างคิ้วของนางร้อนผ่าวยิ่ง
นางยกมือนวดโดยไม่รู้ตัวอย่างลื่นไหล
ความรู้สึกร้อนผะผ่าวที่ว่าจึงหายวับไปอย่างรวดเร็ว
นางย่นคิ้วน้อยๆ ทว่ามิได้เสียเวลาคิดมาก มือกำกระบี่ชื่อเซียวไว้แน่น ก่อนจะมองฝ่ามือสีดำที่อยู่ ณ เบื้องหน้า!
ไข่มุกธาราภายในตำแหน่งตันเถียนทำท่าราวกับจะถูกช่วงชิงไปได้ทุกเมื่อ!
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันกรอด นางโคจรพลังปราณดั้งเดิมภายในร่าง ก่อนจะถ่ายพลังทั้งหมดเข้าสู่กระบี่ชื่อเซียว!
ทันใดนั้น สองมือนางเงื้อกระบี่ขึ้น ก่อนจะฟาดฟันลงมาอย่างโหดเหี้ยม!
เคร้ง!
มือข้างนั้นยกขึ้นมารับกระบี่ชื่อเซียวได้อย่างง่ายดาย!
จากนั้น มือข้างนั้นก็พุ่งตรงมาทางฉู่หลิวเยว่!
เดิมทีนางเป็นคนรูปร่างผอมบางอยู่แล้ว บัดนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่ามือสีดำขนาดมหึมาอันนี้ก็ยิ่งดูตัวกระจ้อยร่อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ประหนึ่งว่ามือข้างนั้นสามารถบดขยี้ร่างนางกลายเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย!
…
“นางหนูเยว่เออร์!”
เมื่อพวกซั่งกวนจิ้งเห็นภาพฉากนี้แล้ว ต่างก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจยิ่ง!
คนทั้งหลายต่างอยากรุดไปข้างหน้าใจจะขาด ทว่ากลับถูกแรงกดดันมหาศาลชวนผวาสกัดกั้นไว้ด้านนอก!
ฝ่ามือสีดำข้างนั้นช่างดุร้ายโดยแท้ แค่พวกเขาจะสาวเท้าเข้าไปใกล้อีกก้าวก็มิอาจทำได้!
พวกผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเองก็มีสีหน้าซีดเผือดเช่นเดียวกัน
ขนาดสามคนนั้นร่วมมือกันยังเอาไม่อยู่ ไฉนเลยจะให้ผู้อื่นทำได้เล่า?
บนยอดเขาแต่ละลูกที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตสำนัก บรรดาศิษย์จำนวนมากที่กำลังจ้องมองสถานการณ์ของฟากนี้เองต่างก็เงียบกริบลงในทันใด
ฉากเหตุการณ์เฉกเช่นนี้ ก็แทบจะตัดสินภาพรวมได้แล้ว
ไม่ว่าซั่งกวนจิ้งและหรงซิวจะเก่งกาจขนาดไหน ก็มิอาจเทียบเคียงได้กับบรรดาคนของเจ้าสำนักได้
ในบรรดาสามคนนั้น มีใครบ้างที่ไม่รักใคร่เอ็นดูแลทะนุถนอมซั่งกวนเยว่เป็นพิเศษ?
ตราบใดที่พวกเขายังมีหนทางอื่นแม้แต่เพียงน้อยนิด ย่อมมิมีทางทนดูให้ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร มองปราดเดียวก็รู้แล้ว
เหนือยอดเขาลูกหนึ่ง หลัวซือซือมีสีหน้ามึนงง สองตาของนางแดงก่ำ
หลัวเยี่ยนหลินเห็นนางเป็นเช่นนี้ นิ้วมือก็ขยับไหว เดิมคิดจะปิดบังมิให้นางได้มองเห็น
หากแต่ลังเลอยู่นานสองนาน สุดท้ายแล้วมือข้างนั้นก็วางลงบนศีรษะนางพลางลูบไปมาเบาๆ
หลัวซือซือน้ำตาไหลพรากด้วยสีหน้าเหม่อลอยทั้งอย่างนั้น
…
ฝ่ามือสีดำพุ่งตรงหมายจะคว้าตัวฉู่หลิวเยว่ไว้
ทว่าในพริบตาเดียว เปลวเพลิงสีทองสว่างแกมโปร่งใสพลันพวยพุ่งออกมาจากตัวกระบี่อย่างบ้าคลั่ง!
ชั่วพริบตา เปลวเพลิงก็กลืนกินตัวกระบี่ไปเกินครึ่งแล้ว!
เปลวเพลิงระอุโชติช่วงส่งเสียงเสียดหูดัง
ชี่ชี่!
ควันสีดำแฝงกลิ่นคาวเข้มข้นพลันแผ่กระจายออกมาจากมือข้างนั้น!
อูอู!
ระหว่างที่กำลังเหม่อลอยอยู่นั่นเอง พลันมีเสียงร้องครวญอย่างโหยหวนแว่วดังมาจากกลางฝ่ามือข้างนั้นไกลๆ!
ฉู่หลิวเยว่ยืนประจันหน้ากับมือข้างนั้น นางเหลือบสายตามองไป พบว่าด้านในมือของมันมีซากกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏให้เห็น!
ลมปราณที่ชวนหดหู่แลขนพองสยองเกล้าแผ่ขยายอย่างบ้าระห่ำไปทั่วทุกสารทิศ!
ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกเย็นวาบไปทั่วสรรพางค์กาย!
…
ณ ยอดเขาลูกหนึ่งที่ตั้งห่างออกไปจากเขาหมื่นเมรัย
ภายในโพรงถ้ำบริเวณไหล่เขา มีแสงสว่างเรืองรองกำลังสาดส่อง
หลินจือเฟยยืนอยู่ด้านข้างค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าซีดขาว เหงื่อที่ซึมออกทางหน้าผากไหลออกมาไม่หยุด
พลังปราณดั้งเดิมภายในร่างของเขาถูกใช้จนแทบหมดสิ้นก็เพื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายอันนี้!
ด้วยเพราะเหนื่อยล้าใกล้หมดแรง ร่างกายของเขาจึงเริ่มสั่นเทาไม่หยุด
ทว่าดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายเขม็ง
ปัญหาที่เคยปรากฏออกมาเมื่อครั้งก่อนของค่ายกลอันนี้ เขาก็จัดการซ่อมแซมพวกมันอย่างสุดแรงที่มีแล้ว
ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้คืออดทนรอให้ถึงที่สุด
ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าสถานการณ์ฝั่งของมู่หงอวี่จะเป็นอย่างไรบ้าง…
เบื้องหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นดำสนิท
พริบตาต่อมา สุดท้ายแล้วเขาก็มิอาจต้านทานเอาไว้ได้ สองขาอ่อนแรงก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้น
พลั่ก!
ร่างของเขาร่วงหล่นลงพื้นอย่างแรง บังเกิดเป็นเสียงอุดอู้ออกมาให้ได้ยิน
หลังนิ่งค้างไปครู่ใหญ่ เขาก็ยังคงกัดฟันยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา
ทว่าเพียงการเคลื่อนไหวธรรมดาเช่นนี้ สำหรับตัวหลินจือเฟยในตอนนี้แล้วล้วนกลายเป็นสิ่งที่กระทำได้ลำบากยากเย็นหาสิ่งใดเปรียบมิได้
ยามมองค่ายกลเคลื่อนย้ายที่มีสภาพง่อนแง่นราวกับจะพังทลายลงมาได้ทุกเมื่อ แววตาของหลินจือเฟยพลันทอประกายแน่วแน่
เขาชักเอากริชเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะกรีดลงไปบนกลางฝ่ามือของตน!
โลหิตสีแดงเข้มไหลทะลักพรูมาในชั่วพริบตา!
เขายกมือขึ้นให้คราบเลือดของตนหยดลงบนค่ายกลเคลื่อนย้าย
อาศัยสิ่งนี้แล้ว บางทีอาจยังสามารถ
หึ่ง!
โพรงหลุมว่างเปล่าพลันสั่นสะเทือน!
บนค่ายกลเคลื่อนย้ายพลันเปล่งแสงประกายวับวาว!
การเคลื่อนไหวของหลินจือเฟยหยุดชะงัก
ครู่ต่อมา ก็พบว่ามีร่างเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากตรงกลาง!
เป็นมู่หงอวี่นั่นเอง!
คราแรกหลินจือเฟยปลื้มปิตินัก ทว่าหลังจากมองเห็นสารรูปอันดูไม่จืดเช่นเลือดเปรอะเต็มทั่วกายของมู่หงอวี่แล้ว ใจก็รู้สึกโหวงขึ้นมา
“มู่หงอวี่?”
ในหูของมู่หงอวี่กระหึ่มไปด้วยเสียงอื้ออึง ทั้งยังไม่หายดีจากกระแสโกลาหลในอากาศที่เข้าจู่โจม
ยามได้ยินสุ้มเสียงเรียกนี้ นางจึงเงยศีรษะขึ้นมามองโดยไม่รู้ตัว
“มู่หงอวี่ เจ้าเป็นอย่างใดบ้าง?”
หลินจือเฟยก้าวไปข้างหน้า ด้วยคิดจะไปช่วยพยุงมู่หงอวี่
หากแต่เดินไปได้สองก้าว ฝีเท้าก็ซวนเซจวนจะล้ม
“เห้อ…”
มู่หงอวี่เห็นดังนั้นจึงรีบกุลีกุจอพุ่งไปช่วยพยุงเขาไว้
“ข้าสบายดี แค่ได้แผลถลอกมานิดหน่อย เจ้าต่างหากเล่า…”
ระหว่างที่พูด นางกวาดตามองดูหลินจือเฟยตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะนิ่วหน้า
ดูจากอายุของหลินจือเฟยในตอนนี้แล้ว สามารถกางค่ายกลระดับนี้ขึ้นมาได้ก็นับว่ายากเย็นมากแล้ว
ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องที่ยืนหยัดรอเป็นเวลานานเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ
หลินจือเฟยโบกมือไปมา
“ข้าไม่เป็นไร”
พูดพลาง เขาก็หยิบยาอายุวัฒนะเม็ดหนึ่งออกมาก่อนจะกลืนมันลงไป
มู่หงอวี่รู้ดีว่าสภาพของเขาย่ำแย่อย่างมากเป็นแน่นแท้ แต่ก็มิได้ถามซอกแซกแต่อย่างใด
นางปรายมองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง
“จริงสิ ข้าไปนานเท่าใดแล้ว?”
นางรู้สึกกังวลใจตลอดทางว่าตนจะมาไม่ทันเวลา
หลินจือเฟยกลืนรสคาวเลือดที่อวลเต็มปากลงไป
“วันพรุ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนอ้ายแล้ว แต่ว่าเมื่อครู่นี้ เขาหมื่นเมรัยฝั่งโน้นมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น…”
เขารั้งรออยู่ที่นี่มาแต่ไหนแต่ไร จึงมิรู้เลยแม้แต่น้อยว่าสถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรกันแน่
ทำได้เพียงแค่เดาจากแรงสั่นสะเทือนวุ่นวายพวกนั้นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร
มู่หงอวี่ได้ยินดังนั้นพลันรู้สึกวิตกกังวลเป็นทวีคูณ
“เกิดเรื่องอย่างนั้นรึ? เช่นนั้น…”
หลินจือเฟยเหลือบมองนาง
“เจ้าว่าคนผู้นั้น…จะมาหรือไม่?”
มู่หงอวี่ผงกศีรษะอย่างรีบร้อน
“มาสิ! เดิมทีพวกเราก็มาด้วยกัน แต่หลังจากเข้าอาณาจักรเสิ่นซวี่มาได้ไม่นาน เขาก็ให้ข้ากลับมาที่นี่คนเดียว ลองคำนวณเวลาดูแล้ว ตอนนี้เขาคงมาถึงแล้ว เพียงแต่…”
เพียงแต่มิรู้ว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาของเขาหมื่นเมรัยได้หรือไม่?
…
บนผืนฟ้ากว้าง ร่างของฉู่หลิวเยว่พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างมิอาจควบคุมได้!
แรงกดดันมหาศาลน่าหวาดหวั่นปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าพื้นดิน มันบดขยี้ร่างของนางจนแทบแหลกเป็นผุยผง!
ไข่มุกธาราภายในตำแหน่งตันเถียนแทบจะถูกกระชากออกจากร่างอยู่รอมร่อ!
ในนัยน์ตาของทุกคนล้วนเคลือบไปด้วยแววสิ้นหวัง
ทว่าในตอนที่ฝ่ามือสีดำกำลังจะเข้าควบคุมตัวฉู่หลิวเยว่นั่นเอง เกราะเกล็ดสีม่วงชิ้นหนึ่งพลันพุ่งทะยานมาจากขอบฟ้าไกล!
แม้นลอยล่องปราดเปรียวในอากาศ ทว่ากลับนำมาซึ่งพลังสะท้านโลกา!
ชั่วพริบตามันก็พุ่งทะยานมาถึง!
…………….