ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1553 ต่อต้านสวรรค์ / ตอนที่ 1554 ทำสำเร็จ
ตอนที่ 1553 ต่อต้านสวรรค์ / ตอนที่ 1554 ทำสำเร็จ
…………….
ตอนที่ 1553 ต่อต้านสวรรค์
ด้านนอกค่ายกลกระสวยสวรรค์มีแรงกดดันมหาศาลไร้รูปร่างชั้นหนึ่งสกัดกั้นภัยทุกรูปแบบเอาไว้
พี่เป่าทำแบบนี้ก็เพื่อให้ฉู่หลิวเยว่ได้มีเวลามากพอ
เขามิอาจออกหน้าได้ ทั้งยังมิสามารถลงมืออย่างเปิดเผย
ทว่าฉู่หลิวเยว่กับสำนักหลิงเซียวกำลังมีภัย เขามิอาจนั่งดูอยู่เฉยๆ ได้
ดังนั้น ระหว่างที่เดินทางมา เขาก็หาหนทางอะลุ่มอล่วยวิธีหนึ่งออกมาได้
หากแต่วิธีนี้จะสำเร็จหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับฉู่หลิวเยว่แล้ว!
…
ในสายตาของฝูงชนที่กำลังจับจ้อง ฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ดูแปลกไปอยู่ไม่น้อย
นางกำลังยืนอยู่ ณ ใจกลางสุดของค่ายกลกระสวยสวรรค์พลางก้มหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
สีหน้านางจริงจังนัก ท่าทางก็ดูเคร่งขรึม
ราวกับว่า…กำลังมองดูค่ายกลกระสวยสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
แต่ค่ายกลกระสวยสวรรค์มีอะไรน่ามองกันหนอ?
ไม่ต้องพูดถึงผู้อื่นดอก เอาแค่ปรมาจารย์ที่มีระดับต่ำล้วนไม่กล้าจ้องค่ายกลกระสวยสวรรค์ตรงๆ กันทั้งนั้น
แรงกดดันมหาศาลของมันหนักหนาเกินไป หากจ้องมองตรงๆ เป็นเวลานาน มิเพียงแต่จะดูไม่เข้าใจ ทั้งยังส่งผลกระทบรุนแรงต่อสภาพจิตใจและความคิดได้
บรรดาผู้อาวุโสฮวาเฟิงเองก็จ้องมองมันได้เพียงพักหนึ่งเท่านั้น หากจ้องเป็นเวลานานก็ไม่ไหวเช่นกัน
ทว่าฝูงชนจำนวนมากกลับพบว่าสถานการณ์ออกจะไม่ถูกต้องอยู่บ้าง
เพราะฉู่หลิวเยว่จ้องเขม็งไปยังค่ายกลกระสวยสวรรค์…ออกจะนานไปหน่อยแล้ว!
“นางหนูเยว่เออร์กำลังดูอันใดอยู่กันแน่?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาเสียงแผ่ว
หลังได้รับรู้ว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่ท่านผู้นั้นจะกลับมาแล้ว ในใจของเขาก็สงบลงไม่น้อย
เพียงแค่มองจากภายนอกแล้ว ท่าทีของเขาดูไม่ต่างจากผู้อื่นมากนัก
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขมวดคิ้ว
“นางกำลังมองดูค่ายกลกระสวยสวรรค์ แต่…ข้าจำได้ว่าตอนนั้นที่นางออกจากสำนักไปยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชาอยู่เลยกระมัง? หรือว่าตอนนี้พลังเพิ่มขึ้นมากแล้ว?”
มิเช่นนั้น นางจะไปจ้องมองค่ายกลกระสวยสวรรค์ได้นานขนาดนี้โดยไม่แสดงอาการผิดแผกจากเดิมได้อย่างไร!
ปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชาเทียบเท่ากับระดับครึ่งเทพในหมู่ผู้แข็งแกร่ง ในสำนักหลิงเซียวที่มีอัจฉริยะรวมตัวกันแท้จริงแล้วก็มิอาจนับว่าเป็นแนวหน้า
เหตุผลที่ปีนั้นฉู่หลิวเยว่สามารถครองตำแหน่งยอดเยี่ยมบนอันดับรายชื่อของปรมาจารย์ได้ ก็เป็นเพราะว่านางเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลหลายรูปแบบ พลังต่อสู้หรือก็แข็งแกร่ง สร้างแรงกดดันให้ปรมาจารย์ที่อยู่อันดับเดียวกันได้ไม่น้อย
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ระดับของนางก็ยังคงถูกจัดไว้เท่านี้
เทียบกันกับปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชาแล้ว ยังมีช่องว่างต่างกันอยู่มากทีเดียว
“นางเพิ่งกลับมา หลังจากเข้าสู่อาณาเขตเซียนเทพได้ก็เพิ่งบุกทะลวงสู่ระดับครึ่งเทพใหม่อีกคราหนึ่ง ส่วนด้านอื่นนั้น…ดูเหมือนจะยังมิอาจบุกทะลวงได้ จึงยังอยู่ระดับเดิมเหมือนแต่ก่อน”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมีสีหน้าทึ่มทื่อโดยพลัน
“นั่น…เหตุใดนางถึงได้…”
ยังมิทันเอ่ยจบ สีหน้าของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพลันเปลี่ยนไปในบัดดล!
ยามเห็นสีหน้าของเขา ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจึงหันมองตามอย่างแปลกใจ
เมื่อมองไป เขาเองก็อึ้งค้างอยู่กับที่เช่นกัน
ประกายแสงสว่างเรืองรองสายหนึ่งทะยานออกมาจากนิ้วเรียวยาวของนาง ก่อนจะลอยต่ำลงอย่างงดงาม
ทันใดนั้น ประกายแสงสายนั้นพลันเข้าเชื่อมเส้นโครงที่ขาดออกเป็นสองท่อนบนค่ายกลกระสวยสวรรค์ให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียว!
ก่อนจะผสานเข้ากันย่างสมบูรณ์แบบ!
ภาพฉากนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสที่อยู่บริเวณโดยรอบทั้งสิ้น
ทั้งสี่ทิศพลันเงียบกริบลงในบัดดล!
ต่อให้ในหมู่พวกเขาจะไม่ใช่ปรมาจารย์ ก็ต้องพอเข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ค่ายกลกระสวยสวรรค์เป็นค่ายกลระดับใด ส่วนนางเป็นปรมาจารย์ระดับไหน?
ตอนนี้นางกำลังทำอะไรอยู่กัน?
คิดจะใช้พลังของตัวเองซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์อย่างนั้นหรือ!?
ฉู่หลิวเยว่มิได้ใส่ใจปฏิกิริยาของคนโดยรอบแม้แต่น้อย
สำหรับนางแล้วการทำเรื่องนี้ให้เสร็จสมบูรณ์นั้นยากมาก ดังนั้นจึงต้องเพ่งสมาธิทั้งหมด มิอาจวอกแวกได้เด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าพลังสายนั้นผสานเข้ากับค่ายกลกระสวยสวรรค์ได้อย่างราบรื่น ในใจฉู่หลิวเยว่เองก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
แม้จะผ่านมาหลายปี แต่โชคดีที่นางยังคงจดจำรูปแบบค่ายกลเหล่านั้นทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ
จากนั้น ในมือของนางพลันมีประกายแสงเส้นที่สองพุ่งทะยานออกไป
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเสียงหายด้วยตื่นตกใจจนรักษาท่าทีไว้ไม่อยู่
“นาง…จะใช้พลังของตัวเองซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ให้สมบูรณ์อย่างนั้นหรือ!”
ตอนที่ 1554 ทำสำเร็จ
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะได้รับบาดเจ็บบนร่างกาย แต่โชคยังดีที่มิได้เจ็บถึงแก่นวิญญาณ
ดังนั้นในตอนนี้ สำหรับนางแล้ว การรวมพลังของตนเพื่อซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ทีละน้อยก็มินับว่ายากเกินไปนัก
ภายในความคิดของนาง นางจัดการแบ่งค่ายกลกระสวยสวรรค์ขนาดมหึมาออกเป็นค่ายกลขนาดเล็กจำนวนมาก
ค่ายกลกระสวยสวรรค์กับค่ายกลเหล่านั้นที่อยู่ในม้วนคัมภีร์อักษรเทวาเหมือนกันไม่มีผิด ทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นมาด้วยมือของพี่เป่า จึงยากจะหาความแตกต่างของพวกมันได้
แน่นอนว่าข้อนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่ทำงานง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
นางย้อนนึกถึงม้วนคัมภีร์อักษรเทวาที่เคยท่องจำไปพลาง ปล่อยพลังปราณดั้งเดิมอย่างรอบคอบไปพลาง ซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ที่ขาดหายขึ้นมาได้ทีละน้อย!
…
บรรดาฝูงชนต่างก็ตาค้างอ้าปากหวอ
นี่…นี่มันสถานการณ์แบบใดกัน?
เวลาหนึ่งก้านธูปก่อน ฉู่หลิวเยว่ยังเผชิญกับสถานการณ์เป็นตายเท่ากัน ประหนึ่งเนื้อบนเขียงที่รอให้คนสับเป็นชิ้น
เหตุใดสถานการณ์ถึงได้พลิกกลับมาได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้กัน?
นางที่กำลังยืนอยู่บนค่ายกลกระสวยสวรรค์ ฝ่ามือสีดำนั่นก็ไร้หนทางเข้าประชิดตัวนางได้อีก
มิต้องเอ่ยถึงจ้องเอาชีวิตนางเลย ตอนนี้แค่ความคิดจะทำร้ายนางก็เกรงว่าล้วนทำได้ยากแล้ว!
จุดสำคัญอยู่ที่ตัวฉู่หลิวเยว่เองเริ่มซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์โดยมิพูดอะไรออกมาสักคำด้วย…
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงนวดเปลือกตาของตนด้วยอดไม่อยู่
“นี่นางหนูเยว่เออร์…ทำเช่นนี้ได้อย่างใดกัน?”
หลังตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ในใจของผู้อาวุโสฮวาเฟิงยิ่งทวีความฉงนและประหลาดใจมากกว่าเก่า
เขาเองก็เป็นปรมาจารย์เช่นกัน อีกทั้งในบรรดาผู้อาวุโสของสำนักแล้ว แน่นอนว่าตัวเขานับเป็นหนึ่งในผู้ที่โดดเด่นที่สุดเลยก็ว่าได้
แต่ต่อให้เป็นเขาเองก็มิกล้ารับประกันว่าตัวเองจะมีพลังถึงขั้นซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ได้
ทว่า…ฉู่หลิวเยว่ไม่เพียงแต่ทำได้ ทั้งยังดูจะมั่นคงมากอีกด้วย!
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมิได้เอ่ยอะไรออกมา
ในใจเขาพอเดาอะไรบางอย่างได้รางๆ แต่ก็มิกล้าฟันธงแน่ชัด
ผู้อาวุโสท่านอื่นเองก็ทยอยจมลงสู่ภวังค์ความคิด
…
ซั่งกวนจิ้งเช็ดคราบเลือดบนมุมปากออก สองตาจ้องเขม็งไปยังฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่บนค่ายกลขนาดมหึมาที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ก่อนจะนิ่วหน้า
เขามิใช่ปรมาจารย์ หากแต่เป็นช่างหลอมอาวุธ
การซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ยากเย็นเพียงใด จะมากน้อยเขาก็ยังพอเข้าใจอยู่บ้าง
ทว่าภาพฉากที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าดูไปแล้วออกจะแปลกประหลาดเกินไปหน่อยจริงๆ
“ผู้อาวุโสซั่งกวน ท่านเป็นอันใดไปหรือ?”
สุ้มเสียงสายหนึ่งลอยแว่วมาจากทางด้านข้าง
ซั่งกวนจิ้งหันศีรษะไปมอง
“เจ้าสำนักหนานเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าสบายดี”
หนานซู่ไหวผ่อนลมหายใจออกมา
“เช่นนั้นก็ดี”
ไม่ว่าอย่างไร ความอาวุโสของซั่งกวนจิ้งล้วนสูงกว่าฝูงชนในที่นี้แทบทุกคน
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นบรรพบุรุษของฉู่หลิวเยว่ จึงย่อมต้องให้ความเกรงใจเขาอยู่สามส่วน
“เพียงแต่เยว่เออร์น่ะ…” ซั่งกวนจิ้งอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดชะงักลง
หนานซู่ไหวรู้ดีว่าเขากำลังวิตกกังวลถึงสิ่งใด จึงรีบกล่าวปลอบว่า
“ผู้อาวุโสซั่งกวนโปรดวางใจ เยว่เอ๋อร์กระทำเรื่องใดล้วนรู้ขีดจำกัดดี ในเมื่อนางเลือกจะทำเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็รอดูความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ก่อนเถิด บางที…อาจจะสามารถแก้ปัญหาขึ้นมาได้จริงๆ หนา?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของซั่งกวนจิ้งก็ขยับน้อยๆ สายตาหยุดมองบนดวงหน้าของหนานซู่ไหวอยู่พักหนึ่ง
สีหน้าหนานซู่ไหวจริงใจนัก ทั้งยังยอมให้เขาจ้องมองได้ตามใจชอบ
เทียบกับท่าทีตระหนกแลเปี่ยมด้วยความกังวลก่อนหน้าแล้ว เหมือนจะ…มีความแตกต่างอยู่บ้าง
ความคิดของซั่งกวนจิ้งตีรวนไปมา เขาระงับความว้าวุ่นใจลงไป ก่อนจะพยักหน้า
“ได้แต่หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
…
หลังจากหนานซู่ไหวเอ่ยจบไม่นาน ก็มีร่างหนึ่งพุ่งทะยานไปหาหรงซิว
ในตอนนั้น หรงซิวเองก็กำลังมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาสนเท่ห์อย่างถึงที่สุด
แววตาของเขาลึกล้ำนัก ใครต่อใครก็มิอาจคาดเดาได้
เมื่อรับรู้ถึงการมาของหนานซู่ไหว แววตาของหรงซิวขยับไหวน้อยๆ ก่อนมองเขาแวบหนึ่ง
“คารวะเจ้าสำนัก”
หนานซู่ไหวโบกมือเป็นเชิงว่ามิต้องมากพิธี
“เจ้า…เป็นอย่างใดบ้าง?”
ระหว่างที่พูด หนานซู่ไหวก็กวาดสายตามองดูหรงซิวไปแล้วรอบหนึ่ง
เสื้อคลุมสีขาวของเขาที่มักสะอาดเรียบร้อยเป็นนิตย์ มาบัดนี้กลับขาดวิ่นดูไม่ได้ ทั้งยังเปรอะไปด้วยคราบเลือดเป็นด่างดวง
ไม่ว่าผู้ใดมองมาล้วนรับรู้ได้ว่าก่อนหน้านี้เขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์ยากลำบากมาเป็นแน่แท้
หนานซู่ไหวลอบถอนหายใจ
ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ แน่นอนว่ามีแต่แม่หนูเยว่เออร์เท่านั้นแล้ว…
“เจ้าสำนักโปรดวางใจ หรงซิวไม่เป็นไร”
หรงซิวเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
หนานซู่ไหวผงกศีรษะรับ รู้ว่าตอนนี้ในใจของเขาล้วนอยู่ที่ตัวฉู่หลิวเยว่ทั้งสิ้น จึงมิได้ถามซักไซ้ต่ออีก
“นางหนูเยว่เอ๋อร์ต้องพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสได้แน่ ว่าแต่เจ้าเถอะ บาดแผลบนร่างกายสาหัสไม่น้อยเลยทีเดียว…”
หรงซิวชะงักไป ก่อนจะผงกศีรษะเบาๆ
“ขอบคุณเจ้าสำนักมาก หรงซิวจะจำใส่ใจไว้”
คนบางส่วนที่อยู่โดยรอบเริ่มหันมามองทางนี้บ้างแล้ว
ริมฝีปากของหนานซู่ไหวขยับไปมา ก่อนจะหันศีรษะไปมองทางฉู่หลิวเยว่
…
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้านัก
ฝ่ามือสีดำเริ่มจะอยู่ไม่สุขขึ้นมาบ้างแล้ว
ระหว่างนี้มันลองโจมตีฉู่หลิวเยว่แล้วหลายต่อหลายครั้ง หากแต่มิได้ผลแม้แต่น้อย
แม้จะมีการกระเพื่อมไหวของกระแสพลังบ้างเล็กๆ น้อยๆ ฉู่หลิวเยว่เองก็มิได้สนใจแม้แต่นิด
สมาธิทั้งหมดของนางในตอนนี้ล้วนเพ่งไปที่การซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ทั้งนั้น
เดิมทีนางก็คุ้นเคยกับค่ายกลในม้วนลิขิตสวรรค์อยู่แล้ว พอบัดนี้ต้องเผชิญกับค่ายกลกระสวยสวรรค์จึงนับว่าทำความเข้าใจได้ไม่ยากเย็นเกินไปนัก
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพี่เป่าคอยช่วยเหลือ ทั้งหมดจึงดำเนินการไปได้ราบรื่นมากกว่าเดิม
คราแรกบรรดาฝูงชนยังคงกังวลอยู่บ้างว่าพลังของฉู่หลิวเยว่คงต้านไว้ได้ไม่นานนัก
ทว่าในไม่ช้า พวกเขาก็พบว่าความคิดที่ว่าช่างไร้สาระโดยแท้
เพราะว่าเวลาผ่านไปนานมากแล้ว อีกทั้งสีหน้าของฉู่หลิวเยว่เองก็มิได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ตราบเท่าที่นางเงื้อมือขึ้น ก็ราวกับว่าครอบครองไว้ซึ่งพลังอันไร้ขีดจำกัด
แน่นอนว่าหลักๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับความเร็วที่นางใช้ดูดกลืนพลังแห่งสวรรค์และโลกในบริเวณโดยรอบด้วย
ไข่มุกธาราที่อยู่ภายในตำแหน่งตันเถียนของฉู่หลิวเยว่เดิมก็กักเก็บพลังปราณดั้งเดิมที่นับว่าไร้ขีดจำกัดอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพของมันในการแปรสภาพพลังแห่งสวรรค์และโลกให้กลายเป็นพลังของฉู่หลิวเยว่เองสูงมากนัก ฉู่หลิวเยว่จึงมิจำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องพลังปราณดั้งเดิมแห้งเหือดเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนี้มีความช่วยเหลือจากต้าเป่า กระแสพลังแปลกประหลาดของฝ่ามือสีดำจึงถูกกักเอาไว้ด้านนอก ความรู้สึกที่เหมือนจะถูกช่วงชิงไข่มุกธาราจึงหายวับไป
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เข้าสู่สภาวะที่มั่นคงขึ้น นางเริ่มซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์อย่างช้าๆ และแม่นยำ
…
ณ ขอบฟ้าค่อยๆ ปรากฏเส้นพุงปลายามรุ่งสางให้เห็น
ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วทุกอาณาบริเวณ
วันใหม่มาเยือนแล้วด้วยประการฉะนี้
คนจำนวนมากมองไปยังสุริยันที่ค่อยๆ ลอยขึ้น ก่อนจะพากันถอนใจออกมาอย่างเปี่ยมอารมณ์
เมื่อคืนนี้มิมีผู้ใดในสำนักหลิงเซียวข่มตาหลับอย่างสบายใจได้เลยสักคน
ทุกคนล้วนตาสว่าง ทั้งรอคอยอย่างทรมานใจ
จนกระทั่งตอนนี้ พวกเขาก็ยังคงยืนหยัด มิกล้าผ่อนคลายท่าทีเลยแม้สักเสี้ยว
เขาหมื่นเมรัยกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้วเรียบร้อย
บนกลางอากาศมีค่ายกลขนาดมหึมาอันหนึ่งลอยล่องอย่างเงียบงัน
สีม่วงและสีเงินตัดพาดผ่านกัน ส่องสว่างเรืองรองไปทั่ว
นั่นคือค่ายกลกระสวยสวรรค์นั่นเอง!
เวลายามค่ำคืนผ่านไปแล้ว ค่ายกลกระสวยสวรรค์ที่เดิมพังทลายไม่มีชิ้นดีมาบัดนี้รับการฟื้นฟูมาได้เกินครึ่งแล้ว
บรรดาฝูงชนที่พากันตื่นตกใจในคราแรก ค่อยๆ พากันทำใจยอมรับ
ต่อให้เรื่องนี้จะดูไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย แต่ว่า…
ความจริงได้มาประจักษ์ต่อหน้าแล้ว!
…
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยสีแดงก่ำ ดวงหน้าเองก็ซีดเผือดอยู่ไม่น้อย
หากยืนอยู่ใกล้ๆ แล้ว จะเห็นได้เลยว่าร่างกายของนางกำลังสั่นระริกแผ่วเบา
ทว่าสายตาของนางยังคงหนักแน่นมั่นคงมิเปลี่ยน
ในความเป็นจริง นางใช้พลังกายและพลังใจหมดไปตั้งนานแล้ว จากนั้นจำต้องพึ่งพาไข่มุกธาราให้ช่วยยืนหยัดต่อไปได้
บัดนี้ ค่ายกลกระสวยสวรรค์เหลือเพียงจุดพังทลายเล็กๆ เส้นสุดท้ายที่ต้องการการซ่อมแซม
ทันทีที่ทำสำเร็จ ก็จะสามารถสะกดฝ่ามือนั่นได้อีกครั้งหนึ่ง!
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกัดฟันปล่อยประกายแสงเส้นสุดท้ายออกไป
…………….