ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1599 เงื่อนไข
ตอนที่ 1599 เงื่อนไข
……….
ทันใดนั้นบนหน้าผากขาวเกลี้ยงเกลาของถวนจื่อก็มีสัญลักษณ์ขนาดเท่านิ้วก้อยสีทองคำชาดปรากฏขึ้น
แสงสีทองสว่างไสว ส่องประกายพร่างพราว
ทำให้ใบหน้าเจ้าเนื้อขาวเนียนน่ารักมากยิ่งขึ้น
แม้ว่ารูปร่างของถวนจื่อจะอ้วนกลม แต่ความจริงแล้วก็ดูดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะองคาพยพทั้งห้าที่ยอดเยี่ยม
รอจนกระทั่งนางโตขึ้นอีกหน่อย ใบหน้าที่น่ารักจะต้องงดงามดั่งภาพวาดแน่นอน
ในขณะนี้ระหว่างคิ้วของนางนั้นมีแสงสีทองส่องประกายเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้นางดูสง่างามเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
ถ้าพูดถึงก่อนหน้านี้ ตอนที่ทุกคนมองหน้าถวนจื่อ ความรู้สึกแรกคือน่ารักและชื่นชอบ และต้องการจะเข้าไปหยิกแก้ม
เล็กๆ ของนาง ถ้าเช่นนั้นในตอนนี้เมื่อมองหน้านางอีกครั้ง จะไม่มีความคิดเช่นนั้นปรากฏขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน
ความชอบก็ยังเป็นความชอบ เพียงแต่ในตอนนี้มีความสูงส่งเพิ่มขึ้นหลายส่วน ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ถวนจื่อยกมือขึ้นแล้วลูบที่กลางหน้าผากของตนเอง
มันร้อนนิดหน่อย แต่ว่า… ทั่วทั้งร่างกายเหมือนกับกำลังแช่บ่อน้ำพุร้อน ทำให้สบายกายเป็นอย่างมาก
นางครุ่นคิดแล้วยื่นมือออกมาด้านหน้า
ม่านพลังโปร่งแสงที่เคยเต็มไปด้วยแรงกดดันอันน่าตกใจหายไปอย่างไร้เสียง กลายเป็นประกายแสงดวงเล็กๆ จนสุดท้ายลำแสงเหล่านั้นก็ไหลเข้าไปในร่างของถวนจื่อ
กระโปรงใบบัวบนร่างกายของนางนั้นก็เหมือนจะสว่างไสวมากขึ้น
ถวนจื่อหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วสาวเท้าวิ่งเข้าไปหาฉู่หลิวเยว่
ครั้งนี้ไม่มีม่านพลังขวางกั้นอีกต่อไปแล้ว นางพุ่งตัวไปอยู่ตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่ด้วยความรวดเร็ว
“อาเยว่!”
นางกอดขาของฉู่หลิวเยว่เอาไว้ ใบหน้ากลมเล็กเงยขึ้น แล้วพูดขึ้นด้วยความดีใจว่า
“อาเยว่! เจ้าดูสิ! เหมือนว่ากระโปรงของข้าจะสวยมากขึ้นกว่าเดิมด้วยล่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ทุกคน “…”
เจ้าอัญเชิญจิตวิญญาณบรรพบุรุษมาได้ แล้วยังหลอมรวมกับสัญลักษณ์ของเผ่า ความคิดแรกที่คิดขึ้นมาได้คือสิ่งนี้น่ะหรือ?
ฉู่หลิวเยว่ห้ามใจตัวเองไม่ให้กุมขมับ นางหันหน้ากลับไปมองถวนจื่อ
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กมองหน้ากัน สายตาทั้งสี่ประสาน
“ถวนจื่อ”
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือออกไปจิ้มที่หน้าผากของอีกฝ่าย
“นี่คือ… อันใดหรือ?”
ถวนจื่อส่ายหน้า
“ไม่รู้ มันบินเข้ามาเอง”
ขณะที่พูดมันก็ลูบหน้าผากตัวเองเล็กน้อย
“เหมือนว่าจะเอาไม่ออกด้วยน่ะสิ”
ทุกคน “…”
เกินไปแล้ว!
แบบนี้มันเกินไปแล้ว!
เกียรติยศเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาคงน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งไปตั้งนานแล้ว แต่ว่าเจ้า! ยังคิดจะเอามันออกอีกหรือ?
คนบางกลุ่มที่มีความตื่นเต้นเริ่มกลอกตามองบน
และยังมีคนบางกลุ่มกัดฟันกรอด รู้สึกแค้นเคืองที่ไม่มีโชคชะตาเช่นนี้บ้าง
แต่อย่างใดก็ตามบรรยากาศนี้มันแปลกประหลาดมาก
“นั่นคือจิตวิญญาณแห่งบรรพบุรุษ”
อี้เจาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ภายใจมีความสับสนมากยิ่งขึ้น ในที่สุดก็พูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
จิตวิญญาณบรรพบุรุษ?
นั่นมัน…
“ในตอนนั้นบรรพบุรุษเสียชีวิตขณะสักการะสวรรค์ จึงเหลือเพียงจิตวิญญาณสายหนึ่ง เป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่าข้า หลายปีที่ผ่านมานี้ มีเพียงตอนที่ประมุขเข้าครองตำแหน่งเท่านั้นที่จะสามารถอัญเชิญออกมาได้”
อี้เจามองถวนจื่อด้วยแววตาซับซ้อน
“แต่… ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ผิดปกติเช่นนี้มาก่อนเลย”
ครั้งนี้จิตวิญญาณบรรพบุรุษไม่เพียงแค่ออกมาเท่านั้น แต่ยัง… เข้าไปอยู่ที่กลางหน้าผากของถวนจื่อแล้วกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง
นั่นหมายความว่าอย่างใด?
ฉู่หลิวเยว่ตกใจเป็นอย่างมาก
เมื่อพูดเช่นนี้หมายความว่า สัญลักษณ์สีทองคำชาดที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้นแข็งแกร่งกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก
อี้เจาบอกว่ามีเพียงแค่ตอนที่ประมุขได้ครองตำแหน่งเท่านั้น ถึงจะสามารถอัญเชิญออกมาได้
แล้วถวนจื่อนั้น…
ประเด็นสำคัญเลยก็คือของสิ่งนี้ติดอยู่กับร่างกายของถวนจื่อ แล้วเช่นนี้จะต้องทำอย่างใดดี?
ฉู่หลิวเยว่ที่มีจิตใจเข้มแข็งมาโดยตลอด ในตอนนี้ก็ยังรู้สึกสับสนไป
นี่ควรจะ… อยู่นอกเหนือขอบเขตของตำแหน่งนายน้อยแล้วละมั้ง…
อี้เจาผงะไปเล็กน้อย ในที่สุดก็พูดออกมาว่า
“เรื่องนี้มันใหญ่มาก พวกเจ้าตามข้ามา”
…
งานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษจัดไปได้เพียงครึ่งทาง ก็ถูกขัดจังหวะเสียแล้ว
สายตาของพวกเขาจดจ้องไปยังตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
ประตูบานใหญ่ปิดสนิท บรรยากาศตึงเครียด
“นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเค่อแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านในจะเป็นอย่างใดบ้าง…”
“ยังจะเป็นอย่างใดได้อีกเล่า? สายเลือดบริสุทธิ์ เปิดเส้นชีพจรต่อเนื่อง …จนกระทั่งตอนนี้ แม้กระทั่งจิตวิญญาณแห่งบรรพบุรุษก็ยังถูกนางอัญเชิญออกมา ยังมีอันใดที่ต้องพูดอีก? ไม่ว่าอย่างใดข้าก็ยอมแล้ว”
“ก็เพราะเช่นนี้ เรื่องราวถึงได้ยุ่งยาก! ถ้าจิตวิญญาณแห่งบรรพบุรุษไม่ได้ออกมา หากพวกนางอยากจะไป ก็สามารถไปได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ต่อให้พวกนางอยากไป ท่านประมุขกับเหล่าผู้อาวุโสก็ไม่มีทางยินยอมเด็ดขาดใช่หรือไม่?”
“หึๆ คำพูดของท่านประมุขและเหล่าผู้อาวุโสจะเป็นอย่างใดต่อ? จิตวิญญาณบรรพบุรุษถูกอัญเชิญออกมาแล้ว ตอนนี้ยังหลอมรวมเข้ากับร่างของถวนจื่ออีก นั่นก็หมายความว่าบรรพบุรุษเห็นด้วย! ท่านประมุขและคนอื่นๆ จะกล้าขัดขืนหรือ?”
เมื่อได้ยินดังนี้ คนจำนวนไม่น้อยก็ยอมรับโดยปริยาย
ไม่ว่าในใจพวกเขาจะคิดอย่างใด แต่นี่คือความจริง
ภายในเผ่าหงส์ทองคำจิตวิญญาณบรรพบุรุษมีตำแหน่งสูงที่สุดแล้ว
หากเรื่องวันนี้แพร่กระจายออกไป ฐานะของถวนจื่อจะต้องอ่อนไหวอย่างมากแน่นอน
ครั้งนี้เหมือนกับนางได้รับการแต่งตั้งจากบรรพบุรุษ ยังจะมีใครกล้าพูดคำว่า “ไม่” อีกหรือ?
แต่สิ่งที่ยากลำบากมากที่สุด คือนางกับซั่งกวนเยว่ยังคงทำพันธสัญญากันอยู่
ไม่รู้ว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป มันจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างใด
…
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงมีเพียงแต่ความเงียบงันและเคร่งเครียด
สถานที่เดียวกัน บุคคลคนเดียวกัน
ในตอนนั้นเองฉู่หลิวเยว่ก็นึกถึงวันที่นางกับถวนจื่อเข้ามาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก
ในตอนนั้นพวกนางเหมือนกับปลาที่อยู่บนเขียง แทบจะทำได้เพียงขอความเมตตาจากผู้อื่น
หากนางต้องการคุยกับพวกเขาอย่างเสมอภาค นางถึงกับต้องเอาความตายของตัวเองมาขู่
แต่ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน สถานการณ์กลับพลิกผันโดยสิ้นเชิง!
ตอนนี้ฝ่ายได้เปรียบกลับเป็นนางและถวนจื่อ
อี้เจาและคนอื่นๆ นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ราวกับไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างใด
ฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่พูดไม่จา ทำได้เพียงรอคอยอย่างเงียบสงบ
ไม่ว่าอย่างใดคนที่รีบร้อนก็ไม่ใช่นาง
แน่นอนว่าคนที่ผ่อนคลายที่สุดคือถวนจื่อ
หลังจากสัญลักษณ์นั้นตกลงที่กลางหน้าผากของนางมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว นางก็ไม่ได้สนใจอันใดมันอีก ถวน
จื่อจึงอยู่ในอ้อมกอดของฉู่หลิวเยว่อย่างเชื่อฟัง พร้อมกับกอดคอนางเอาไว้ นางขยับตัวเข้าไปอย่างใกล้ชิด และถูไถใบหน้าซั่งกวนเยว่เป็นครั้งคราว
หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดถวนจื่อก็ทนไม่ไหวแล้วพูดขึ้นว่า
“อาเยว่ ข้าง่วงนอนแล้ว…”
นางขยี้ตาตัวเอง พร้อมส่งน้ำเสียงออดอ้อน
“เมื่อไรพวกเราจะไปได้ล่ะ?”
ขณะที่พูดก็ยังถูไถตัวอยู่ในอ้อมกอดของฉู่หลิวเยว่
“ไปกันเถอะ! พวกเรากลับบ้านกัน!”
อี้เจาและคนอื่นๆ เห็นดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว!
แต่เมื่อพวกเขาคิดได้ว่าตอนนี้จิตวิญญาณบรรพบุรุษยังอยู่ในร่างกายของถวนจื่อ แล้วนางก็ยังออดอ้อนคนเผ่ามนุษย์อีกด้วย ผู้อาวุโสหลายคนมีชีวิตอยู่หลายพันปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย แต่หัวใจแทบจะวายในทันที
อี้เจาสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่าน แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปทางฉู่หลิวเยว่
“เจ้าพูดเงื่อนไขมาเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่ผงะไป
“อันใดนะ?”
อี้เจาพูดขึ้นว่า
“ในเมื่อถวนจื่อได้รับการแต่งตั้งจากบรรพบุรุษแล้ว เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางก็คือนายน้อยของเผ่าเรา หลังจากนางเติบโตเต็มที่ ตำแหน่งประมุขนี้ก็จะเป็นของนาง หลังจากนี้เจ้าก็จะเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเผ่าเรา เจ้ามีเงื่อนไขอันใด ข้าจะพยายามทำให้เจ้าพึงพอใจที่สุด”
“แต่ เจ้าต้องยกเลิกพันธสัญญากับถวนจื่อ”