ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1614 กลายร่างเป็นขนนก
ตอนที่ 1614 กลายร่างเป็นขนนก
……….
ทันทีที่มีลำแสงปรากฏขึ้น อุณหภูมิที่แผดเผาก็เพิ่มขึ้นสูง ทำให้ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นไปเช็ดมันออก
บริเวณระหว่างคิ้วยังเรียบเนียนเช่นเดิม
แต่ความรู้สึกแสบร้อนก็ยังไม่จางหายไปไหน
ทั่วทั้งร่างกายของฉู่หลิวเยว่รู้สึกเจ็บปวดจวนเจียนคลั่ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดบริเวณระหว่างคิ้ว ก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้
ความสนใจของนางทั้งหมดหยุดอยู่บริเวณระหว่างคิ้ว
ตุ้บ!
ขาของนางอ่อนยวบ จากนั้นก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
“อาเยว่!”
ถวนจื่อตะโกนขึ้นมาอย่างเป็นกังวล น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา
นางพยายามดิ้นรนขัดขืนและต้องการจะพุ่งตัวไปด้านหน้า แต่ไม่ว่าอย่างใดก็ตามพลังของบรรพบุรุษก็แข็งแกร่งมากเกินไป ทำให้นางถูกขังอยู่ที่เดิม และเฝ้ามองจากระยะไกลเท่านั้น
“อาเยว่!”
เสียงของถวนจื่อเจือเสียงสะอึกสะอื้น
นางไม่สามารถทนมองฉู่หลิวเยว่ได้รับความทุกข์ทรมานได้ โดยเฉพาะ… การอยู่ในกองเพลิงเช่นนี้!
เมื่อมองเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายในสมองของนางก็ฉายภาพเหตุการณ์ในปีนั้นขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตอนแรกที่หอบรรพกษัตริย์ราชวงศ์เทียนลิ่งนางก็อยู่ท่ามกลางกองเพลิงขนาดใหญ่เช่นนี้ ซึ่งทำให้พวกนางต้องแยกจากกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา!
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันอีกครั้ง ถวนจื่อจึงรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
“นางไม่เป็นไร”
เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยและหยาดน้ำตาของถวนจื่อ บรรพบุรุษจึงอดทอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“หากข้าสังหารนางในตอนนี้ไม่เท่ากับว่าข้ากำลังสังหารเจ้าอยู่หรือ?”
กว่าจะสามารถรอคนอย่างถวนจื่อมาได้สักคนไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน
ถวนจื่อมองไปด้วยความเหม่อลอย
“จริงหรือ?”
แต่อาเยว่ดูเจ็บปวดทรมานมากเลย
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะหลอกลวงเจ้าได้อย่างใด”
ถวนจื่ออายุยังน้อย บรรพบุรุษทราบดีว่าภายในหัวใจของนางมีเพียงซั่งกวนเยว่เท่านั้น ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างใดไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมนางเช่นนี้
ถวนจื่อเช็ดน้ำตา เบะริมฝีปาก และพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
“หากอาเยว่เป็นอันใดไปขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนายน้อยหรือประมุข ข้าก็ไม่ต้องการทั้งนั้น!”
ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางก็จะติดตามอาเยว่ไป!
…
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ ประกายเพลิงทั้งหมดก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของฉู่หลิวเยว่
เลือด เนื้อ กระดูก และเส้นเอ็นของนางเหมือนถูกความร้อนเข้าปกคลุม!
“ชักนำพลังที่อยู่ในเปลวเพลิงให้เข้าสู่ตันเถียนของเจ้า”
เสียงแหบพร่าจากระยะไกลดังขึ้นมาอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันกรอด แล้วฝืนตนเองให้ยืนตรง
การกระทำของนางเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่นางเคลื่อนไหว ความเจ็บปวดบนร่างกายจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน
รอจนกระทั่งนางสามารถนั่งสมาธิได้อย่างยากลำบาก พื้นที่ตรงหน้าก็มืดดำ จนแทบไม่สามารถมองเห็นภาพใดๆ ได้เลย
หลังจากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือทั้งสองข้างวางที่หัวเข่า และโคจรพลังที่อยู่ในร่างกายอย่างยากลำบาก
เปลวเพลิงเหล่านั้นเหมือนกับกระแสน้ำ มันไหลเข้ามาในร่างกายของนางอย่างบ้าคลั่ง
แรงกดดันที่อยู่ภายในนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ฉู่หลิวเยว่แทบจะไม่สามารถควบคุมได้ นางกัดฟันพยายามอย่างสุดแรง และค่อยๆ ชักนำพลังเหล่านั้นสู่ตันเถียน
พรึ่บ…
สะเก็ดเปลวเพลิงเล็กๆ สัมผัสลงกับชีพจรดั้งเดิมของนาง ฉู่หลิวเยว่ได้ยินเสียงเผาไหม้อันแสบแก้วหูอย่างชัดเจน!
ความเจ็บปวดทะลุเข้ากระดูกจนไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ฉู่หลิวเยว่มีใบหน้าซีดขาวในทันที
นางหลับตา ขมวดคิ้วมุ่น อาศัยพลังจิตควบคุมพลังเหล่านั้น
นางยังคงเงียบไม่พูดไม่จา มีเพียงร่างกายที่สั่นสะท้านเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้นางกำลังได้รับความเจ็บปวด
เมื่อเปลวเพลิงดวงแรกตกลง หลังจากนั้นไม่นานก็มีดวงที่สอง ซึ่งมันก็หล่นลงมาในบริเวณไม่ไกลกันนั้น
ร่างกายของฉู่หลิวเยว่สั่นสะท้านขึ้นมาในทันที ระหว่างริมฝีปากและฟันมีกลิ่นสนิมกระจายออกมา
หลังจากนั้นเปลวเพลิงก็กระจายไปทั่วเส้นชีพจรของฉู่หลิวเยว่อย่างอิสระ
แต่ระหว่างคิ้วของนางนั้นกลับมีความร้อนเพิ่มสูงขึ้น!
ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้
ก่อนหน้านี้ภายในตาน้ำที่เขาหมื่นเมรัย ขณะที่นางอัญเชิญอาณาเขตเซียนเทพกลับมา บริเวณกลางหน้าผากของนางก็มีความเจ็บปวดเช่นนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน
เพียงแต่ในตอนนั้นเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก นางจึงไม่ได้สนใจในจุดนี้
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น นางก็สลบไสลไปหนึ่งเดือน หลังจากตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ลืมเรื่องนี้ไปจนหมดสิ้น
จนกระทั่งตอนนี้…
ความรู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยาย เหมือนกับมีมีดอันแหลมคมและอุณหภูมิสูงเสียบแทงเข้าที่ระหว่างคิ้วของนาง!
พลังทางกายภาพของฉู่หลิวเยว่โดดเด่นมาโดยตลอด และการอดทนต่อความเจ็บปวดของนางนั้นก็สูงกว่าคนปกติ
สามารถทำให้นางรู้สึกทรมานได้มากขนาดนี้ จะต้องเป็นความเจ็บปวดที่ไม่น่าจะสามารถจินตนาการได้
ถวนจื่อมองมาจากระยะไม่ไกล หยาดน้ำตายังไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย
ตู้ม!
เสียงระเบิดเสียงหนึ่งดังขึ้น
ที่หลังมือของฉู่หลิวเยว่กลับมีบาดแผลเล็กๆ หนึ่งรอยปรากฏขึ้น
เมื่อมองผ่านๆ มันเหมือนถูกใบมีดที่แหลมคมตัดผ่านด้วยความเร็ว
แผลนั้นไม่มีเลือดไหลออกมา แต่ใต้บาดแผลกลับแดงก่ำดั่งเดิม
หลังจากนั้นไม่นานรอยบาดแผลเช่นนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้น
ผิวที่เรียบเนียนดุจดั่งหยกของนาง เริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
หัวใจของถวนจื่อเหมือนถูกอันใดบางอย่างบีบรัด ดวงตาแดงก่ำ
นางแทบจะไม่กล้าหันไปมอง จึงต้องเบนสายตาออกไป
“อาเยว่”
…
เวลาค่อยๆ ไหลผ่าน
ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงเวลาหัวค่ำอีกแล้ว
ลำแสงเจิดจ้าสาดส่องลงมา ตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงเหมือนถูกปกคลุมด้วยชั้นแสงส่องสว่าง
“นี่ก็ผ่านมาหนึ่งวันแล้ว เหตุใดซั่งกวนเยว่ถึงยังไม่ออกมา?”
ผู้อาวุโสอี้ซังไม่รู้ว่าตนเองมองไปทางประตูบานใหญ่นั้นกี่ครั้งแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีวี่แววที่จะถูกเปิดออกมาเลย
เขาจึงเดินไปด้านข้างของอี้เจาด้วยความกังวลใจ
“ประมุข…”
อี้เจาส่ายหน้า
“ข้าไม่สามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้ ดังนั้นจึงไม่ทราบสถานการณ์ในตอนนี้”
ใช่ว่าเขาจะไม่อยากรู้ว่าภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์นั้นมันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
น่าเสียดายที่บรรพบุรุษให้เขาออกมา และเขาก็ไม่กล้าขัดขืน
ริมฝีปากของอี้ซังกระตุกเล็กน้อย เดิมทีเขาอยากจะพูดอันใดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ช่างมันเถอะ
แม้กระทั่งท่านประมุขยังพูดเช่นนี้ เกรงว่าน่าจะไม่มีหนทางอื่นจริงๆ เขาจึงทำได้เพียงรอต่อไป
เดิมทีการที่ให้ซั่งกวนเยว่เข้าไปด้านในนั้นก็น่าตกใจมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยังต้องรอคอยนางนานขนาดนี้อีกด้วย
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร เขาก็รู้สึกไม่สงบสุขมากเท่านั้น
เมื่อผู้อาวุโสอี้อวี่กลับมา ก็เห็นว่าจัตุรัสเงียบไปอย่างผิดปกติ
เขาจึงชะลอฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว
“ประมุข”
เรื่องราวก่อนหน้านี้เขารู้มาหมดแล้ว เพียงแต่เขาต้องใช้เวลาจัดการกับหุบเขาเฟิ่งหวง เมื่อเสร็จแล้วถึงค่อยกลับมา
อี้เจาเหลือบสายตามองเขา
“ทางนั้นจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ผู้อาวุโสอี้อวี่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“นอกจากภูเขาบริเวณใกล้เคียงที่เสียหายอย่างหนัก และจำเป็นจะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซม ส่วนสถานที่อื่นๆ ล้วนเป็นปัญหาเล็กน้อย หลังจากงานกราบไหว้บรรพบุรุษเสร็จสิ้น มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างแน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
สีหน้าของผู้อาวุโสอี้เจาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ผู้อาวุโสอี้อวี่เหลือบสายตาไปมองทางท้องพระโรง เมื่อเห็นว่าทุกคนมีสีหน้าตึงเครียด เขาจึงหัวเราะออกมาว่า
“ท่านประมุข ข้าว่าท่านไม่ต้องกังวล ซั่งกวนเยว่ผู้นั้นมีฝีมือไม่น้อย อีกทั้งนางยังทำพันธสัญญากับถวนจื่อ จะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน อีกเดี๋ยวไม่นานนางก็จะออกมาแล้ว”
อี้เจารู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจปลอบโยนเขา ดังนั้นจึงพยักหน้า
“ขอให้เป็นเช่นนั้น”
…
ภายในท้องพระโรง ฉู่หลิวเยว่นั่งอยู่ด้วยความเงียบงัน
ในตอนนี้นางมีบาดแผลขนาดเล็กจำนวนมาก คราบเลือดกระจัดกระจาย ดูจนตรอกเป็นอย่างมาก
ในที่สุดสะเก็ดไฟดวงสุดท้ายภายในร่างกายของนางก็หล่นลงสู่เส้นชีพจร!
ความเงียบปกคลุมในระยะสั้นๆ
ตู้ม!
กระแสเสียงอันแผ่วเบาดังขึ้น สะเก็ดไฟเหล่านั้นค่อยๆ หล่นลงมาภายในเส้นชีพจรของนาง กลายเป็นขนนกสีแดงชาด!
ขนนกแต่ละอัน ทับซ้อนกัน! ปกคลุมเส้นชีพจรทั่วร่างของนางจนมิด!