ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1617 ซักถาม
ตอนที่ 1617 ซักถาม
……….
ถวนจื่อเบิกตากว้าง
ที่แท้…ท่านบรรพบุรุษก็แข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?
หากเป็นเช่นนี้หลังจากนี้นางกับอาเยว่ ไม่เพียงแต่จะสามารถอยู่ด้วยกันได้แล้ว อีกทั้งยังไม่ต้องโดนผู้อาวุโสในเผ่าบ่นอีกด้วย?
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้นางกับอาเยว่เผชิญอันตรายใดๆ ตราบใดที่สามารถหลบหนีออกมาได้ เช่นนั้นพวกนางทั้งคู่ก็จะสามารถมีชีวิตรอด!
ไม่มีเรื่องอันใดดีไปกว่านี้แล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้นก็ทอดถอนใจออกมาเช่นกัน
พันธสัญญาร่วมชีวิตไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย
เดิมทีนางไม่เคยรู้เรื่องเหล่านี้เลย
แต่เมื่อพลังของบรรพบุรุษหลอมรวมเข้ากับร่างกายของนาง อีกทั้งยังกลายร่างเป็นขนนก จากนั้นเส้นชีพจรดั้งเดิมของนางถูกปกคลุมด้วยเกราะชั้นหนึ่ง นางก็สามารถสัมผัสอันใดได้บางอย่างอย่างคลุมเครือ
ท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นเสียงหนึ่งก็ดังมาจากระยะไกล ลูกบอลแสงนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน และผสานเข้ากันเอง
แม้ว่าขั้นตอนกระบวนการจะค่อนข้างลำบาก แต่มันก็คุ้มค่าเป็นอย่างมาก
นางอุ้มถวนจื่อแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็โค้งคำนับต่อหงส์ทองคำที่อยู่ในฝาผนัง
“บุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโส ผู้เยาว์จะไม่มีวันลืมเลย”
ดวงตาฉ่ำน้ำของถวนจื่อหันกลับไปมอง และรีบตะโกนขึ้นมาว่า
“ขอบคุณท่านบรรพบุรุษ! ข้ารู้แล้วว่าท่านบรรพบุรุษดีต่อถวนจื่อมากที่สุด!”
แม้ว่าเสียงนั้นจะมีความแหบพร่าเล็กน้อย แต่ก็นุ่มนิ่ม ไร้เดียงสา และยังน่ารักเช่นเดิม
ท่านบรรพบุรุษหัวเราะขึ้นเสียงเบา
“ตอนนี้เจ้าปากหวานมาก ไม่โกรธแล้วหรือ? ไม่ก่อเรื่องแล้วหรือ?”
ถวนจื่อหน้าแดงก่ำ และยิ้มกว้างออกมา
“ท่านบรรพบุรุษใจกว้างมาก จะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กอย่างข้าได้อย่างใดเล่า? แล้วอีกอย่าง ท่านน่ะเอ็นดูข้ามากที่สุดไม่ใช่หรือ?”
ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่สามารถอัญเชิญจิตวิญญาณบรรพบุรุษออกมาได้แน่นอน และไม่สามารถคว้าตำแหน่งนายน้อย และยิ่งไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้ไม่ใช่หรือ?
ท่านบรรพบุรุษกลั้นขำ
“เจ้านี้ช่างพูดจริงๆ ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากใคร”
ภายในน้ำเสียงของเขาไม่มีความโมโหเจืออยู่เลย มีเพียงความเอ็นดู
แน่นอนว่าเขารักถวนจื่อ ไม่เช่นนั้นคงไม่มาเสียเวลาขนาดนี้เพื่อช่วยนางเปลี่ยนพันธสัญญาใหม่หรอก
“ซั่งกวนเยว่ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะพูดกับเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่มีสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“ผู้อาวุโสมีรับสั่งอันใด สามารถกล่าวมาตามตรงได้เลย”
ภายในท้องพระโรงเข้าสู่ความเงียบ
หลังจากผ่านไปสักพักท่านบรรพบุรุษก็พูดขึ้นว่า
“ถวนจื่อเป็นนายน้อยของเผ่าข้า และในอนาคตเขาจะเป็นประมุขของที่นี่ แต่ตอนนี้นางยังเยาว์วัยนัก มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องรบกวนให้เจ้าดูแล”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“เรื่องนี้ผู้อาวุโสเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
ต่อให้อีกฝ่ายไม่พูดเช่นนี้ นางก็ไม่มีทางทำให้ถวนจื่อได้รับความอยุติธรรมอย่างเด็ดขาด
“เจ้ายินดีที่จะมาเผ่าของข้าตามลำพังเพื่อถวนจื่อ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเจ้ามาก”
น้ำเสียงนั้นลังเลเป็นอย่างมาก
“หลังจากนี้หากเจ้าไปตามหาชิ้นส่วนที่เหลือ เกรงว่า…จะต้องประสบกับอันตรายอย่างมาก วันนี้ข้าเปลี่ยนแปลงพันธสัญญาให้กับพวกเจ้าแล้ว ซึ่งนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าสามารถช่วยเหลือได้แล้ว”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่แข็งค้าง จากนั้นก็พยักหน้าขึ้นลงอย่างเคร่งขรึม
“ความคิดของผู้อาวุโสนั้น ผู้เยาว์รับทราบแล้ว”
กระแสเสียงนั้นแฝงด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ถอนหายใจออกมา
“ของสิ่งนั้นยอมรับเจ้าเป็นนายแล้ว ความจริงแล้วก็ต้องพิสูจน์อันใดเยอะมาก พวกเจ้าไปเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว อยากจะพักผ่อนเสียหน่อย”
เมื่อพูดจนถึงประโยคสุดท้าย กระแสเสียงนั้นก็มีความเหนื่อยล้าอยู่หลายส่วน จากนั้นก็ค่อยๆ เบาลงไป
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปาก จากนั้นก็ปล่อยถวนจื่อลง
นางโค้งคำนับด้วยความเคารพ
“ผู้อาวุโสรักษาตัวด้วย”
“ท่านบรรพบุรุษลาก่อน! ถวนจื่อจะคิดถึงท่านบรรพบุรุษทุกวันเลย!”
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำ แหบพร่าดังขึ้นจากระยะไกล จากนั้นก็ค่อยๆ หายไป
หลังจากผ่านไปสักพักฉู่หลิวเยว่ก็จับมือของถวนจื่อไว้
“ถวนจื่อ พวกเราไปกันเถอะ”
…
แอ๊ด…
ในที่สุดประตูบานใหญ่ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงก็ถูกเปิดออกมาแล้ว!
ทุกคนที่กำลังนั่งรออยู่ด้านนอกได้ยินเสียงนั้นก็ตื่นตัวขึ้นมาในทันที! จากนั้นพวกเขาก็มองไปทางประตู!
ขณะที่ประตูอันหนักอึ้งค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า เงาร่างหนึ่งสูงร่างหนึ่งเตี้ยปรากฏแก่สายตาของทุกคน
นั่นก็คือซั่งกวนเยว่และถวนจื่อที่เข้าไปด้านในเมื่อหลายวันที่แล้ว!
ในที่สุดพวกนางก็ออกมาแล้ว!
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในสมองของคนจำนวนนับไม่ถ้วนทันที
อี้เจาสาวเท้าเดินขึ้นไปด้านหน้าเป็นคนแรก
แต่เมื่อเห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของถวนจื่อแดงก่ำ บนใบหน้ากลมเกลี้ยงยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา หัวใจของอี้เจาก็ตึงเครียดขึ้นมาในทันที
“ถวนจื่อ เจ้าเป็นอันใดหรือ?”
กราบไหว้บรรพบุรุษอยู่ดีๆ แล้วเหตุใดถึงร้องไห้ได้เล่า?
เขาขมวดคิ้วขึ้นในทันที จากนั้นก็หันไปมองฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่เข้มงวดของเขา ฉู่หลิวเยว่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
หลังจากที่นางอำลากับท่านบรรพบุรุษแล้วก็เดินออกมาที่นี่ทันทีเลย
ถวนจื่อเพิ่งหยุดร้องไห้ไปได้ไม่นาน ท่าทางจึงดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
ไม่น่าแปลกใจเลยที่อี้เจาจะสงสัยนางเช่นนี้
“ท่านประมุข ข้าไม่เป็นไร…”
ถวนจื่อกระชับมือของฉู่หลิวเยว่ให้แน่นขึ้น นางรู้ว่าท่านประมุขเข้าใจผิดจึงรีบอธิบายขึ้น
อี้เจายังคงรู้สึกสงสัย
“ถวนจื่อ ที่นี่คือตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง เจ้าเป็นนายน้อยของเผ่าหงส์ทองคำ หากเจ้าโดนรังแกจริงๆ แล้วละก็ ต้องพูดออกมานะเข้าใจหรือไม่?”
“โอ้! ไม่มีอันใดจริงๆ เจ้าค่ะ!”
ถวนจื่อพึมพำทำปากจู๋
“ก็แค่…ข้าได้พูดกับท่านบรรพบุรุษ และรู้สึกดีใจมากจนร้องไห้ออกมาเท่านั้น!”
ก่อนหน้าที่จะออกมา นางได้ปรึกษากับอาเยว่เรียบร้อยแล้วว่าจะยังไม่บอกเรื่องเปลี่ยนพันธสัญญาให้ผู้อื่นรับรู้
ถ้าอี้เจาและคนอื่นๆ รู้เรื่องเหล่านี้ จะต้องไม่พะว้าพะวังกับฉู่หลิวเยว่อีกแน่นอน และไม่แน่ว่าอาจจะขอร้องให้ถวนจื่ออยู่ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงต่อไป
… หลังจากทำพันธสัญญาร่วมชีวิตแล้ว มนุษย์และสัตว์อสูรไม่จำเป็นจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาอีกแล้ว สัตว์อสูรก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่จะตายของมนุษย์ จนทำให้ตนเองต้องตายตกตามกันไปด้วย
เดิมทีอี้เจาอยากจะให้ถวนจื่ออยู่ที่นี่อยู่แล้ว หากเขารู้เรื่องนี้แล้วล่ะก็ เหตุผลที่จะให้นางอยู่ที่นี่ก็ต้องมีมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ว่าอย่างใดก็ตามก่อนหน้านี้พวกเขาสัญญาแล้วว่า จะไม่เข้าร่วมจนกว่าถวนจื่อจะบรรลุนิติภาวะ
ค่อยพูดเรื่องนี้ทีหลังน่าจะเหมาะสมมากกว่า
อี้เจากวาดสายตามองถวนจื่ออย่างระมัดระวังอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ จากนั้นถึงค่อยวางใจลงได้
ต่อมาเขาก็หันมาพูดกับฉู่หลิวเยว่
“คุณหนูซั่งกวน เมื่อครู่นี้หากข้าเสียมารยาทไป ต้องขออภัยด้วย ท้ายที่สุดแล้วถวนจื่อก็เป็นนายน้อยของเผ่าเรา ข้าจึงต้องให้ความสำคัญกับนางมากเป็นพิเศษ”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ช่างหาได้ยากยิ่ง ที่ประมุขอี้เจาจะมีมารยาทต่อนางเช่นนี้
หรือจะเป็นเพราะว่า…นางได้เข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงแล้ว?
“ประมุขอี้เจากังวลมากเกินไปแล้ว ข้ารู้ว่าท่านทุกคนหวังดีต่อถวนจื่อ”
หลักการของฉู่หลิวเยว่ก็คือ คนเคารพนางหนึ่งฉื่อ นางเคารพตอบหนึ่งจั้ง[1]
ไม่ว่าอย่างใดอี้เจาก็เป็นประมุขของเผ่าหงส์ทองคำที่มีสถานะสูงส่ง สามารถมาพูดกับนางได้อย่างใจเย็นเช่นนี้ก็นับว่าให้เกียรติกันมากแล้ว
ซึ่งมันดีกว่าในตอนแรกเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นรอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่ คิ้วไม่ได้ขมวด เหมือนกับนางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้จริงๆ อี้เจาจึงรู้สึกดีกับนางขึ้นมาไม่น้อย
ซั่งกวนเยว่ผู้นี้เหมือนว่าจะยังเยาว์วัย แต่ก็รู้หนักเบา รู้ว่าเมื่อไรควรสู้ และเมื่อไรควรถอย
มิน่าล่ะนางจึงมีชื่อเสียงมากในหมู่มวลมนุษย์
อี้เจาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นมาว่า
“พวกเจ้า…ตอนที่กราบไหว้บรรพบุรุษ ราบรื่นดีหรือไม่?”
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็หูผึ่งในทันที
ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากได้ยินมากที่สุด
ถวนจื่อกราบไหว้บรรพบุรุษนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ประเด็นสำคัญเลยก็คือ…ซั่งกวนเยว่เข้าไปด้วยเหตุใด?
ภายในมันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
ท่ามกลางความเงียบงัน ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส
“แน่นอนว่าผู้อาวุโสเป็นคนดีอย่างมาก ข้าจึงรู้สึกสนิทสนมเป็นพิเศษ”
[1]คนเคารพนางหนึ่งฉื่อ นางเคารพตอบหนึ่งจั้ง สำนวนจีน ฉื่อ คือ หน่วยวัดจีน 1 ฉื่อ เท่ากับ 1 นิ้ว ส่วน 1 จั้ง จะเท่ากับ 10 ฉื่อ หมายถึง ใครที่ดีมา นางก็จะตอบแทนให้อย่างงาม
……….