ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1618 กลับมา
ตอนที่ 1618 กลับมา
……….
จัตุรัสขนาดใหญ่เงียบเสียงลงอย่างกะทันหัน
ในขณะนั้นเองเหมือนกับแม้กระทั่งลมก็หยุดพัด
สีหน้าของทุกคนดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ
เมื่อครู่นี้ซั่งกวนเยว่พูดว่ากระไรนะ?
ผู้อาวุโสเป็นคนดีมาก นางรู้สึกสนิทสนมกับเขาเป็นพิเศษ?
เมื่อพูดเช่นนี้ก็หมายความว่า นางได้พูดคุยกับท่านบรรพบุรุษจริงๆ หรือ?
อีกทั้งเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็เหมือนว่าท่านบรรพบุรุษปฏิบัติต่อนางไม่เลวเลย!
แต่นางเป็นคนเผ่ามนุษย์นะ!
หลังจากความเงียบปกคลุมอยู่ในระยะสั้น ในที่สุดจัตุรัสก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา!
“นี่มัน… นางได้พบกับท่านบรรพบุรุษจริงด้วย! ข้าเคยเข้าไปกราบไหว้บรรพบุรุษอยู่สองครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบเลยสักครั้ง! ข้ารู้สึกปวดใจมาก!”
“หุบปากเถอะ ข้าเข้าไปกราบไหว้ตั้งห้าครั้ง ก็ไม่เคยได้พบเลยสักครั้งเช่นกัน นอกจากประมุขและผู้อาวุโส ต่อให้คนอื่นๆ เข้าไปอีกสักกี่ครั้งผลลัพธ์ก็เป็นเหมือนเดิม! หากอยากพูดคุยกับท่านบรรพบุรุษ… เจ้าได้เป็นผู้อาวุโสก่อนแล้วค่อยว่ากัน! อ่า จริงสิ เป็นนายน้อยก็ได้ แต่ก่อนจะพูดเรื่องนั้น เจ้าจะต้องมีฝีมือระดับนั้นเสียก่อน”
เห็นได้ชัดว่าทุกคนที่อยู่ในจัตุรัสนี้ไม่มีฝีมือถึงระดับนั้น
ท้ายที่สุดแล้วตำแหน่งนายน้อย ก็เป็นของคนตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่ด้านบนนั้น
“ให้ตายเถอะ… ตำแหน่งนายน้อยว่างมาเป็นร้อยปี เพิ่งจะได้คัดเลือก แต่ก็ถูกเด็กที่เพิ่งทะลวงด่านมาแย่งไปเสียได้ แล้วคนผู้นั้นยังมีสายเลือดบริสุทธิ์ ดังนั้นข้าไม่จำเป็นจะต้องพูดอันใดแล้ว อิจฉาก็คงไม่ไหว นางสามารถเข้าไปกราบไหว้บรรพบุรุษได้ นั่นก็เป็นเรื่องที่สมควร แต่… ใครสามารถบอกข้าได้บ้างว่า มันเกิดอันใดขึ้นกับซั่งกวนเยว่!”
นางเป็นผู้ทำพันธสัญญากับถวนจื่อ!
ต่อให้จะไว้หน้าถวนจื่อก็ไม่ควรจะทำถึงขั้นนี้สิ!
ท่านบรรพบุรุษคิดอันใดอยู่กันแน่นะ?
อี้เจาเป็นผู้ที่ผ่านโลกมามาก แต่สีหน้าของเขาในตอนนี้ก็ยอดเยี่ยมอย่างมากเช่นกัน
จิตสำนึกที่เหลืออยู่ของบรรพบุรุษเผ่าหงส์ทองคำมักจะหลับใหลอยู่ตลอดมา
มีเพียงแค่ช่วงกราบไหว้บรรพบุรุษ ที่เขาจะตื่นมาเท่านั้น
ซึ่งคนเดียวที่สามารถพูดคุยกับเขาได้ก็คือนายน้อยคนใหม่ หรือไม่ใช่ก็คือท่านประมุข
แม้กระทั่งผู้อาวุโสทั้งห้า อย่างมากก็สามารถติดตามเข้าไปขอพบได้ แต่ไม่เคยได้รับเกียรติถึงขนาดให้ท่านบรรพบุรุษชี้แนะ
แต่ดูตอนนี้สิ!
เผ่ามนุษย์คนหนึ่ง แต่ได้ดีกว่าพวกเขาทั้งหมด!
แม้ว่าพวกเขาไม่อยากจะเชื่อ แต่อี้เจาและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้คิดว่าฉู่หลิวเยว่โกหก
เรื่องแบบนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหก
เพราะว่ามันสามารถตรวจสอบและหักล้างโต้เถียงได้ง่ายมาก
ดังนั้นเมื่อพูดเช่นนี้แล้ว… หมายความว่าท่านบรรพบุรุษปฏิบัติต่อนางดีจริงๆ …
“… ไม่ทราบว่าคุณหนูซั่งกวนจะสามารถเปิดเผยได้หรือไม่ว่าท่านบรรพบุรุษชี้แนะอันใดบ้าง?”
อี้เจาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมถามด้วยความเกรงใจ
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมา
“ไม่มีอันใด ท่านก็แค่พูดว่าถวนจื่อยังเด็กนัก ให้ข้าดูแลนางให้มากหน่อย”
นางพูดออกมาด้วยเสียงราบเรียบ แต่ทุกผู้คนที่ได้ยินนั้นกลับมีสีหน้าตกใจเหมือนกัน!
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยกถวนจื่อให้นางดูแลหรอกหรือ?
แม้กระทั่งท่านบรรพบุรุษยังพูดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้น… คนอื่นยังมีสิทธิ์ที่จะคัดค้านอีกหรือ?
…
ความจริงแล้วเรื่องนี้อี้เจาก็สามารถคาดเดาได้อย่างเลือนราง แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อมาโดยตลอด
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาจึงจำเป็นต้องยอมรับความจริง
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าท่านบรรพบุรุษคิดเห็นอย่างใดถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายทำเช่นนี้แล้ว ก็จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
อีกทั้งสิ่งที่พวกเขาทำได้ ก็คือเชื่อฟังตามคำสั่งเท่านั้น
“…อย่างนี้นี่เอง”
อี้เจาพูดออกมาด้วยเสียงแห้งผาก จากนั้นก็เงียบเสียงลง
เดิมทีเขาเป็นคนที่พูดน้อยอยู่แล้ว เมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอันใดดี
“ประมุขอี้เจา ไม่ทราบว่างานกราบไหว้บรรพบุรุษนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่กระซิบถามเสียงเบา
อี้เจาชะงักไปเล็กน้อยแล้วพยักหน้าว่า
“ความจริงก็นับว่าเสร็จสิ้นแล้ว”
ความจริงแล้วงานกราบไหว้บรรพบุรุษครั้งนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ การทดสอบเด็กรุ่นใหม่ และทำการคัดเลือกใครคนใดคนหนึ่งขึ้นมาเป็นนายน้อย
เดิมทีถวนจื่อไม่ได้อยู่ในขอบเขตนี้ แต่ด้วยฝีมือและพรสวรรค์ของนางช่างน่าเหลือเชื่อมากเกินไป อีกทั้งยังสามารถอัญเชิญจิตวิญญาณแห่งบรรพบุรุษได้ แล้วยังได้รับความโปรดปรานจากบรรพบุรุษอีก
ดังนั้นตำแหน่งนายน้อยจึงกลายเป็นของนางโดยปริยาย
ส่วนเรื่องอื่นนั้น พวกเขาทดสอบเสร็จกันไปตั้งแต่วันแรกแล้ว
เดิมทีคนที่มีความหวังมากที่สุดก็คือ อี้หราน ดังนั้นต่อให้เขามาสาย อี้เจาไม่ได้ซักไซ้เอาความ
แต่ใครจะรู้เล่าว่าสุดท้าย…
พูดได้เพียงว่า ทั้งหมดเป็นชะตาฟ้าลิขิต
แต่สิ่งที่ทำให้อี้เจาใจชื้นเลยก็คือ เดิมทีเขาตั้งความหวังกับถวนจื่อเอาไว้สูงอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าถวนจื่อจะมีฝีมือโดดเด่นกว่าที่คาดการณ์เอาไว้
แม้ว่านางจะไม่สามารถยกเลิกพันธสัญญากับซั่งกวนเยว่ได้ แต่…
ท่านบรรพบุรุษเห็นด้วยแล้ว พวกเขายังจะต้องพูดอันใดอีก?
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้… ข้าคิดว่า ถึงเวลาที่จะต้องอำลาแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าการขอตัวจากไปในตอนนี้จะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร แต่นางกับถวนจื่อก็อยู่ที่นี่มานานมากเกินไปแล้ว
องค์ปฐมกษัตริย์ยังรออยู่ด้านนอก
ภายในสำนักก็ยังมีอาจารย์และผู้อาวุโสหลายท่านที่กำลังเป็นห่วงนางอยู่
อีกทั้งทางด้านหรงซิว…
ที่นางมาที่นี่ เดิมทีก็เพื่อแก้ไขปัญหาของถวนจื่อ
ตอนนี้ปัญหาทุกอย่างถูกแก้ไขอย่างราบรื่นแล้ว พวกนางก็ถึงแก่เวลาที่จะต้องจากไปแล้ว
อี้เจาขมวดคิ้วมุ่น แล้วหันไปมองทางถวนจื่อ
ถวนจื่อยังคงจับมือฉู่หลิวเยว่อยู่เช่นเดิม จากนั้นก็ขยับเข้าใกล้นางมากขึ้น
ไม่ว่าใครที่ได้มองก็สามารถสัมผัสได้ถึงความพึ่งพาและสนิทสนม
ริมฝีปากของอี้เจากระตุกเล็กน้อย
ความจริงแล้วในใจของเขาก็ไม่อยากจะปล่อยให้นางไป แต่… เขาไม่สามารถพูดคำเหล่านั้นออกมาได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พยักหน้า
“หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็มาที่นี่ให้บ่อยๆ หน่อย”
คำพูดนี้ไม่มีหัวไม่มีท้าย แต่ฉู่หลิวเยว่กลับสามารถเข้าใจได้ทันที
นี่นับว่าเป็นคำอนุญาต หลังจากนี้นางสามารถเข้าออกภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงได้อย่างอิสระ
ริมฝีปากแดงของนางยกยิ้มขึ้น เผยรอยยิ้มที่เจิดจ้าสดใส
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เข้าใจ ที่แห่งนี้คือบ้านของถวนจื่อ และมันจะเป็นที่นี่เสมอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจที่บิดเบี้ยวของอี้เจาก็สามารถผ่อนคลายลงได้ในที่สุด
เขามองทางฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาลึกซึ้ง
“หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ก็พูดออกมาได้เลย”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
…
อาทิตย์อัสดงในทิศประจิม
แสงอาทิตย์อันอบอุ่นส่องสะท้อนกับชั้นเมฆา ทำให้หมู่เมฆาถูกเคลือบเป็นแสงสีทองหนึ่งชั้น
เหนือพื้นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา แผ่นน้ำแข็งสะท้อนเข้ากับแสงอาทิตย์ระยิบระยับ
ซั่งกวนจิ้งยืนอยู่บริเวณริมฝั่ง พร้อมทอดมองไปไกล เมื่อเห็นว่าฉากด้านหน้าไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เขาก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาอย่างอดไม่ได้
อีกหนึ่งวันผ่านพ้นไป
เยว่เออร์ก็ยังไม่กลับมา
นี่ก็เป็นเวลาหนึ่งดือนกว่าแล้ว… ไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านในจะเป็นอย่างใดบ้าง
เมื่อนึกถึงจดหมายฉบับนั้น ซั่งกวนจิ้งก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
เยว่เออร์สามารถรบกวนให้ผู้อาวุโสช่วยส่งจดหมายออกมาได้ ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของเขาไปมาก
แต่เพราะเหตุนี้ทำให้เขาสามารถอดทนรอต่อไปจนถึงตอนนี้ได้
แต่ว่าในตอนนั้นเยว่เออร์กล่าวว่าจะกลับออกมาเร็วๆ นี้
ทว่านี่ก็ผ่านเวลาไปนานแล้ว ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา…
แกร๊ก!
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังราวกับแตกกระจายดังออกมาจากระยะไกล ซึ่งขัดจังหวะความคิดของซั่งกวนจิ้ง
เขาหันกลับไปมองตามเสียงนั้น และเห็นว่าแผ่นน้ำแข็งที่อยู่เหนือท้องทะเลแตกกระจายออกอย่างกะทันหัน!
หัวใจของเขากระตุกวูบ และรีบสาวเท้าก้าวขึ้นไปสองก้าว พร้อมจ้องมองตาเขม็ง
หลังจากนั้นไม่นาน นอกจากเสียงแตกที่คมชัดแล้ว บนแผ่นน้ำแข็งก็มีรอยแตกร้าวราวกับใยแมงมุมทั่วทั้งผืน!
ซั่งกวนจิ้งจ้องมองไปอย่างตื่นเต้น ในที่สุด…
ตู้ม!
แผ่นน้ำแข็งทั้งหมดก็แตกเป็นเสี่ยงๆ!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เหนือน่านฟ้าก็มีเปลวเพลิงสีทองคำชาดก่อตัวขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ ก่อนจะค่อยๆ จางหายไป!
“องค์ไท่จู่!”
เสียงกระจ่างใสที่คุ้นเคยดังขึ้น!