ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1623 ทำบ้าอันใดกันอยู่ ตอนที่ 1624 เสื้อเกราะ
ตอนที่ 1623 ทำบ้าอันใดกันอยู่
สำนักหลิงเซียวเพิ่งจะประสบกับหายนะครั้งใหญ่ หากหนานซู่ไหวจะออกจากสำนักในตอนนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผล…
มันจะต้องเกิดอันใดบางอย่างขึ้นแน่นอน
แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือว่าเรื่องร้าย…
อี้เหวินจั๋วหรี่ตามองเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วมุ่งหน้าไปทางห้องโถง
“จิ่วชิง”
อี้เหวินจั๋วผลักประตูเข้ามาด้านในทันที
เมื่อได้ยินเสียงนั้น จวินจิ่วชิงที่กำลังจ้องมองอันใดบางอย่างก็รีบวางของสิ่งนั้นในทันที แล้วลุกขึ้นยืน“อาจารย์”
อี้เหวินจั๋วกวาดสายตามองของที่อยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว แล้วขมวดคิ้วขึ้นมา
“เจ้ากำลังอ่านจดหมายจากราชวงศ์เป่ยหมิงอีกแล้วหรือ?”
จวินจิ่วชิงพยักหน้า
“เสด็จพ่อกล่าวว่า…”
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่แล้ว สนใจเกี่ยวกับเรื่องทางนี้จะดีกว่านะ”
อี้เหวินจั๋วพูดแทรกคำพูดของเขา
“ทางด้านราชวงศ์เป่ยหมิง เจ้าไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจมากเกินไป เจ้าอย่าลืมสิสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกระดูกของเจ้ามันเป็นของตระกูลใด”
ขณะที่พูดประโยคหลัง อี้เหวินจั๋วก็จ้องมองจวินจิ่วชิงตาเขม็งพร้อมแฝงไปด้วยแรงกดดันอันแข็งแกร่งจนไม่สามารถบรรยายออกมาได้!
จวินจิ่วชิงนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่ง เหมือนกับมุมปากกระตุกขึ้น
“อาจารย์พูดได้ถูกต้อง จิ่วชิงจะปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านอย่างเคร่งครัด”
อี้เหวินจั๋วพยักหน้าอย่างพอใจ
เขาพาจวินจิ่วชิงมาที่นี่อย่างยากลำบาก ดังนั้นข้าจึงไม่อยากให้เขาสูญเสียเวลาและพลังไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
อี้เหวินจั๋ววางมือลงบนโต๊ะจากนั้นก็เคาะเบาๆ
“เมื่อครู่นี้หนานซู่ไหวเพิ่งออกจากสำนักไป”
ในแววตาของจวินจิ่วชิงมีความประหลาดใจปรากฏขึ้น
“ตอนนี้หรือขอรับ?”
“ไม่รู้ว่าเขาออกไปด้วยเหตุใด แต่ก็สามารถคาดเดาได้หลายส่วน”
อี้เหวินจั๋วหัวเราะเสียงเย็นพร้อมพูดขึ้นว่า
“สิ่งที่สามารถทำให้เขาออกจากสำนักหลิงเซียวตอนนี้ได้ น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตของเขามาก ซึ่งนี่เป็นไปได้อย่างมากว่า… จะต้องเกี่ยวข้องกับซั่งกวนเยว่แน่นอน”
ลำแสงสว่างวาบพาดผ่านดวงตาของจวินจิ่วชิง แต่พริบตาเดียวก็หายไปแล้ว
“ตอนนี้นางน่าจะออกมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงแล้วละมั้ง ท่านเจ้าสำนักออกไปในตอนนี้…”
“นั่นหมายความว่านางจะต้องออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงแล้วอย่างแน่นอน!”
อี้เหวินจั๋วหยุดการกระทำลงในทันที ภายในสมองมีสมมติฐานจำนวนมากผุดขึ้นมา
“หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับซั่งกวนเยว่?”
อี้เหวินจั๋วพูดเสียงต่ำ
จวินจิ่วชิงหลุบสายตาลงต่ำ หลังจากผ่านไปสักครู่ แล้วถามขึ้นมาว่า
“ท่านเจ้าสำนักจากไปแล้ว อาจารย์วางแผนจะทำอย่างใดต่อไป?”
ใบหน้าของ อี้เหวินจั๋วเต็มไปด้วยความกังวล
คราวนี้กว่าเขาจะรอให้หนานซู่ไหวกลับมา พวกเขายังไม่ทันได้เผชิญหน้า คนผู้นั้นก็วิ่งหนีหายไปแล้ว!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็มีสีหน้าสงบนิ่งขึ้นมา
จวินจิ่วชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เดิมทีเขาก็มีใบหน้าที่ยั่วยวนอยู่แล้ว ตอนนั้นจึงเพิ่มความชั่วร้ายขึ้นหลายส่วน
“นี่… ท่านแน่ใจหรือ? ท่านเจ้าสำนักออกไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ใด และยิ่งไม่รู้ว่าเขาไปทำอันใด หากท่านหุนหันพลันแล่นติดตามไป…”
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามไปอย่างใกล้ชิด!
อี้เหวินจั๋วยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้เขาไม่ต้องพูดแล้ว
“เจ้าดูแลเรื่องต่างๆ ในสำนักก็พอแล้ว เรื่องอื่นอาจารย์จะจัดการเอง”
จวินจิ่วชิงก้มหน้าลง
“ขอรับ ข้าจะทำตามคำสั่งของอาจารย์”
เงาร่างของ อี้เหวินจั๋ววูบไหว จากนั้นก็หายไปจากตำแหน่งเดิม!
ภายในห้องว่างเปล่าและเงียบกริบอีกครั้ง
จวินจิ่วชิงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าราบเรียบอย่างมาก
เขาก้มหน้ามองจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงอีกครั้ง
หลังจากที่จัดการอารมณ์เรียบร้อยแล้ว เขาก็ค่อยๆ เก็บจดหมายลง ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แล้วหลับตาลง
หลังจากผ่านไปสักพัก หนังตาของเขาก็กระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็เบิกตากว้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ในตอนนั้นเองภายในดวงตาทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร!
“โดนกวาดล้างอีกแล้วหรือ? พวกเจ้าทำบ้าอันใดกันอยู่?”
ตอนที่ 1624 เสื้อเกราะ
“ส่งไปอีก!”
จวินจิ่วชิงตะโกนขึ้นด้วยเสียงต่ำ!
ภายในห้องปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปสักพัก จวินจิ่วชิงก็กวาดสายตามองจดหมายที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบพวกมันขึ้นมา แล้วเดินออกจากห้องไป
เขายังไม่ทันเดินถึงหน้าประตู แต่ความว่างเปล่าด้านหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว เกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้น
วินาทีถัดมา เขาก็โบกมือขึ้น รอยแยกสีดำของมิติจึงปรากฏขึ้น
สีหน้าของเขาเย็นชา จากนั้นก็สาวเท้าก้าวเข้าไป
ลมพัดม้วนเข้าที่ชายเสื้อของเขา เงาร่างนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
สุสานสังหารเทพอยู่ห่างจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงมาก อีกทั้งระหว่างสองสถานที่นี้ก็ไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้โดยตรง
ยังดีที่ฝีมือตอนนี้ของฉู่หลิวเยว่และผู้อื่นไม่ได้อ่อนแอ หากพวกเขาเดินทางเต็มกำลัง ไม่มีทางล่าช้าเกินไปแน่นอน
กอปรกับซั่งกวนจิ้งเคยเดินทางไปที่สุสานสังหารเทพมาก่อนแล้ว ระหว่างทางจึงสามารถหลีกเลี่ยงทางอ้อมได้เป็นจำนวนมาก
หลังจากเดินทางมาหนึ่งวันหนึ่งคืน เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงกลางเทือกเขาที่ทอดยาว ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจหยุดพักอยู่ครู่หนึ่ง
ยาค่ำคืนคืบคลาน ดวงจันทร์เต็มดวงแขวนขึ้นบนท้องฟ้า
ยอดเขาดำมืดอยู่ท่ามกลางราตรี ลายเส้นขุนเขาคดเคี้ยวลดเลี้ยว
พวกเขาทั้งหลายพบพื้นที่ราบเรียบบริเวณตีนเขา เอาไว้ใช้สำหรับพักผ่อน
เปลวเพลิงพุ่งทะยาน ทำให้เงาร่างของคนทั้งหลายทอดยาวออกไป
ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองข้างวางไว้ที่หัวเข่า ให้ความสนใจเพียงแค่การดูดกลืนพลังแห่งสวรรค์และโลก
แม้ว่าตอนนี้นางจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงแล้ว แต่การที่วิ่งมาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน พลังภายในร่างกายก็ลดน้อยลงไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องโคจรให้ดี
ถวนจื่อนอนเอนกายอยู่ข้างตัวของนาง ท่าทางหลับลึกไปแล้ว
เดิมทีฉู่หลิวเยว่อยากจะให้ถวนจื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายของนาง แบบนั้นคงสะดวกมากกว่า
แต่ถวนจื่อเพิ่งจะกลายร่างเป็นมนุษย์ มีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกภายนอกเป็นอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่จึงปล่อยให้นางออกมา
จนกระทั่งตอนนี้ ร่างกายเล็กๆ ก็ไม่สามารถทนรับไหว ทันทีที่หยุดพักนางก็ผล็อยหลับไป
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วสถานการณ์ของหรงซิวและซั่งกวนจิ้งกลับดูดีกว่ามาก
หลังจากทั้งสองคนปรึกษากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซั่งกวนจิ้งก็เฝ้ายามในช่วงครึ่งคืนแรก จากนั้นเป็นหรงซิวที่เฝ้ายามในครึ่งคืนหลัง
แต่ว่าหรงซิวกลับไม่ได้ไปพักผ่อน เขาหยิบหินทรงกลมขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมาขัดแทน
หินก้อนนั้นเป็นหินสีดำเข้มที่ไม่อาจทำให้สีจางลงได้ เมื่อสะท้อนเข้ากับเปลวเพลิง คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีความแวววาวอยู่เลย เหมือนกับถูกรอบข้างกลืนกินแสงสว่างออกไปอย่างไร้เสียงแล้ว
ในตอนนั้นเองกลับมีรัศมีที่เฉียบคมแผ่กระจายออกมาหลายส่วน
ยิ่งหรงซิวขัดมันมากขึ้น สีดำที่อยู่ชั้นนอกของหินก็ค่อยๆ จางหายไป แสงสีทองปรากฏขึ้นแทนที่
เดิมทีซั่งกวนจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ เพราะเขารู้ตั้งนานแล้วว่าหรงซิวเป็นช่างหลอมอาวุธเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีฝีมือและพรสวรรค์ไม่เลว การขัดหินนั้น สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องปกติอย่างมาก
แต่เมื่อแสงสีทองส่องประกายออกมาจากหิน ในที่สุดก็สามารถดึงดูดความสนใจของซั่งกวนจิ้งได้แล้ว!
เขาจ้องมองหินก้อนนั้นอยู่สักพักด้วยความไม่แน่ใจ จากนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจว่า
“นี่มัน…หินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬ?”
การเคลื่อนไหวของหรงซิวยังไม่หยุดนิ่ง แต่เขาก็พยักหน้าเบาๆ
“ผู้อาวุโสซั่งกวนสายตาเฉียบแหลมเป็นอย่างมาก”
ซั่งกวนจิ้งลอบตกใจ
เขาเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธ ต้องรู้อย่างแน่นอนว่าหินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬล้ำค่ามากเพียงใด
ของชิ้นนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และยังสามารถหล่อเลี้ยงพลังปราณดั้งเดิมได้
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้หินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬหลอมขึ้นมานั้น มักมีระดับไม่ต่ำต้อย
ต้องบอกก่อนว่า ระดับของอาวุธศักดิ์สิทธิ์สักชิ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับของผู้หลอมอาวุธเท่านั้น แต่คุณภาพของวัสดุอุปกรณ์ก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
อย่างมากที่สุดของบางชนิดก็สามารถหลอมเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง แต่เพราะไม่สามารถดึงดูดพลังทัณฑ์สวรรค์ระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชามาได้ และยิ่งไปกว่านั้นมันไม่สามารถต้านทานพลังทัณฑ์สวรรค์ได้
อีกทั้งยังมีบางส่วนที่มีพลังหลอมที่แข็งแกร่ง จนสามารถหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชาและอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อได้
ดังนั้นของวิเศษอย่างหินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬก็สามารถทนต่อพลังทัณฑ์สวรรค์ในการสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ
ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากนำมาหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อก็มีโอกาสสำเร็จเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นของสิ่งนี้จึงมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในหมู่ช่างหลอมอาวุธ
แต่หินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬมีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งยังหาได้ยากยิ่ง นับว่าเป็นของวิเศษในหมู่ของวิเศษ
แม้กระทั่งซั่งกวนจิ้งที่เป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ก็ยังเคยได้ยินถึงสิ่งนี้แค่ในข่าวลือเท่านั้น แต่กลับไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน
พระราชวังเมฆาสวรรค์ช่างมีรากฐานลึกซึ้ง แม้กระทั่งของสิ่งนี้ก็ยังสามารถเอามาได้
…
จากนั้นซั่งกวนจิ้งก็หันไปมองทางเครื่องมือหลอมของหรงซิว
ยิ่งมอง เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น
เพราะเขานั้นพบว่าฝีมือและพรสวรรค์ของหรงซิวในการหลอมอาวุธนั้น ความจริงแล้วมันเกินกว่าที่เขาเคยคาดการณ์เอาไว้มาก!
เมื่อพิจารณาจากท่าทางขัดหินของเขานั้น เขาก็ดูมีทักษะคล่องแคล่ว และนับว่ามีความรู้และฝีมืออยู่ในระดับสุดยอด!
เมื่อเทียบกับซั่งกวนจิ้งแล้ว เกรงว่าไม่ได้ห่างกันไกล
ซั่งกวนจิ้งลูบปลายคางของตัวเอง หนังตายกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็หันมองทางหรงซิว
ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มส่องสะท้อนท่ามกลางเปลวเพลิง ความงามราวกับหยก สูงส่งไม่เป็นรองใคร
จะว่าไปแล้ว เขาก็รู้เพียงว่าหรงซิวได้รับอันดับหนึ่งด้านการหลอมอาวุธในสำนักหลิงเซียว แต่เขาก็ไม่เคยเห็นหรงซิวหลอมอาวุธด้วยตาตนเองมาก่อน…
ในตอนนี้เขาจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
การขัดหินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬเหมือนจะง่าย แต่ความจริงแล้วมันมีเงื่อนไขที่เข้มงวดเป็นอย่างมาก
หรงซิวสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เพียงแค่ประสบการณ์อย่างเดียวคงไม่เพียงพอแน่นอน ที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือการใช้พรสวรรค์
ด้านซั่งกวนจิ้งที่เคยภูมิใจในตัวเองมาโดยตลอด ตอนนี้เมื่อเห็นการกระทำของหรงซิวเขาก็หยุดชะงักไป และรู้สึกว่า พรสวรรค์ของหรงซิวนี้ เหมือนกับ… จะเหนือกว่าเขาอีกขั้น
อย่างน้อยในตอนที่เขาอายุเท่ากับหรงซิว เขาก็ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้แน่นอน
ในเรื่องการหลอมอาวุธ ซั่งกวนจิ้งมักจะไม่ค่อยยอมใคร ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางเอาชนะช่างหลอมอาวุธหลายคนติดต่อกันได้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อหันไปมองท่าทางของหรงซิว เขาก็ต้องชื่นชมออกมาจากก้นบึ้งหัวใจอย่างอดไม่ได้
เขาเป็นช่างหลอมอาวุธที่หาได้ยากจริงๆ
แต่ว่ามีความแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ข่าวลือของหรงซิวภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ต่างบอกว่า เขาเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด โหดเหี้ยมไร้ความปราณี
ภายในสำนักหลิงเซียว ความจริงแล้วเขามีชื่อติดอยู่ในสองอันดับของงานประลองชิงอวิ๋น แม้ทุกคนจะรู้ว่าเขามีพรสวรรค์สูงส่ง ฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่ง ทุกอย่างก็ไม่ได้พูดเกินจริงไป…
หากพูดตามหลักเหตุผลแล้วด้วยพรสวรรค์ที่แท้จริงของหรงซิว ชื่อเสียงด้านหลอมอาวุธของเขาจะต้องยิ่งใหญ่กว่าในตอนนี้แน่นอน
แต่ว่าตอนนี้เหมือนว่าจะไม่มีใครพูดถึงมันเป็นพิเศษ…
ซั่งกวนจิ้งขมวดคิ้วขึ้นมา
หรือว่า… หรงซิวจะตั้งใจปิดบังเอาไว้…
ตู้ม!
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแทกดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของซั่งกวนจิ้ง
เขาหันกลับไปมอง จากนั้นก็เห็นว่าหรงซิวขัดหินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬเสร็จตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ
เดิมทีหินทรงกลมนั้นเป็นสีดำสนิท แต่ในตอนนี้กลับมีลำแสงสีทองส่องประกาย
สีดำชั้นบนถูกขัดเกลาจนสะอาดแล้ว ทำให้เห็นแสงสีทองส่องประกาย ดูแล้วแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ตอนที่มองอย่างละเอียด ยังสามารถมองเห็นลายเส้นสีดำที่อยู่ด้านในได้อย่างเลือนราง
ลายเส้นเหล่านั้นเคลื่อนไหวไปมา บางครั้งก็เปลี่ยนรูปร่าง แฝงด้วยความงดงามอันแปลกตาจนไม่สามารถบรรยายออกมาได้
หรงซิวหยิบมีดแกะสลักสีเงินออกมา และเริ่มแกะสลักในทันที
ซั่งกวนจิ้งจึงถามออกมายังอดไม่ได้
“หรงซิว เจ้าอยากจะหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์แบบใด?”
หรงซิวชะงักไปเล็กน้อย มุมปากโค้งขึ้น
“ก่อนหน้านี้เกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงของเยว่เออร์ถูกทำลาย ข้าจึงอยากหลอมเกราะที่ดีกว่านั้นให้นาง”
……….