ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1640 หนังสือเล่มหนึ่ง
……….
ถวนจื่อเป็นหงส์ทองคำ อีกทั้งตอนนี้ยังเปิดเส้นชีพจรที่สี่ได้
แม้ว่าตอนนี้นางจะดูเหมือนก้อนแป้งขาวนุ่มนิ่มก็ตาม แต่ความจริงแล้วพลังกายของนางแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ไม่ต้องพูดถึงกระบี่เพียงเล่มเดียวเลย ต่อให้เป็นการโจมตีพร้อมกันร้อยคน นางก็ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
นางไม่จำเป็นจะต้องโคจรพลังปราณดั้งเดิม เพียงแค่หมัดที่อ่อนนุ่มก็สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว!
เดิมทีหนานอวี่สิงได้รับบาดเจ็บอยู่เล็กน้อย อีกทั้งถวนจื่อยังดูแคลนเขาเป็นอย่างมาก
ถ้าเขาไม่ถูกจัดการ แล้วใครจะถูกจัดการ?
เมื่อเห็นว่าเงาร่างของหนานอวี่สิงถูกใบไม้สีชาดกลืนกิน หนานอีอีและคนอื่นๆ ก็ตื่นตระหนก ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในทันทีโดยไม่สนอันตราย
เวลานี้พวกเขาไม่มีเวลาและแรงที่จะมาโกรธแค้นด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดได้คือจะต้องรีบช่วยหนานอวี่สิงออกมาให้เร็วที่สุด!
หากช้าไปกว่านี้ เกรงว่า…
“ถวนจื่อ ไปกันเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่กวักมือเรียกถวนจื่อ
“โอ้! ข้ามาแล้ว!”
ถวนจื่อตอบรับหนึ่งเสียงด้วยความยินดี จากนั้นนางก็หมุนตัวออกไป แล้ววิ่งไปหาฉู่หลิวเยว่ด้วยท่าทางมีความสุข
เดิมทีนางอยากจะโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของฉู่หลิวเยว่ แต่เมื่อหางตาเห็นเงาร่างชายที่สวมชุดสีขาว ถวนจื่อก็รีบยับยั้งชั่งใจตนเองทันที
“ทำได้ไม่เลวเลย”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นจากเหนือศีรษะ
ถวนจื่อเบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วหันมองทางหรงซิวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
สีหน้าของเขาราบเรียบเป็นอย่างมาก แต่ในแววตากลับมีประกายชื่นชมอยู่หลายส่วนอย่างหาได้ยาก
นี่ นี่มัน…
เขากำลังชมนางอยู่หรือ?
ถวนจื่อกะพริบตาปริบๆ และเห็นว่าหรงซิวเบือนสายตาออกไป
นางกลอกตาขึ้นลองพยายามยืดมือเล็กๆ ไปคว้าแขนเสื้อของฉู่หลิวเยว่
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับจับมือของนางขึ้นมาโดยตรง
ถวนจื่อรีบหันกลับไปมองหรงซิว เมื่อเห็นว่าเขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พูดอันใด
นี่หมายความว่า…เขาเห็นด้วยแล้วหรือ?
อ๊าก!
ถวนจื่อรู้สึกดีใจอย่างบ้าคลั่ง!
ในที่สุดก็สามารถอยู่กับอาเยว่ได้อย่างเปิดเผยแล้ว!
นางรีบคว้ามือของฉู่หลิวเยว่มาจับเอาไว้ พร้อมเดินตามนางไป และไม่ลืมที่จะถามว่า
“อาเยว่ๆ! เมื่อครู่นี้ข้าทำได้ดีหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
เวลาผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ตั้งแต่ตอนที่ถวนจื่อเป็นไก่ฟ้าเก้าสีระหว่างนั้นนางก็มีความก้าวหน้าจนได้มาอยู่ในระดับนี้แล้ว ฝีมือและพลังแห่งสายเลือดก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย แต่นิสัยของนางนั้นยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
ไม่ว่านางจะทำอันใด ก็จะพุ่งมาหาด้วยความยินดีเพื่อรับความดีความชอบ
ฉู่หลิวเยว่บีบจมูกของนาง
“จัดการได้งดงามมาก!”
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของถวนจื่อ
ฮิๆ!
ถ้ารู้ว่ารางวัลของครั้งนี้จะยอดเยี่ยมมากขนาดนี้ เมื่อครู่นี้นางน่าจะต่อยออกไปหลายหมัด!
หากหนานอวี่สิงรู้ความคิดนี้ของถวนจื่อเกรงว่าเขาจะต้องกระอักเลือดออกมาแล้ว
เพื่อให้ได้กุมมือกับเจ้านายของตนเอง พูดอันใดนิดหน่อยก็จะทุบตีกันให้ตายเชียวหรือ?
ประเด็นก็คือนางสามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆ
ในป่าวิญญาณสีชาดแห่งนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนล้วนไม่กล้าโคจรพลังปราณดั้งเดิมของตนเอง หากเมื่อโคจรไปแล้วชีวิตก็จะต้องแขวนอยู่บนความเป็นความตาย!
แต่ทว่ามีคนคนหนึ่ง อาศัยเพียงพลังกายก็สามารถเอาชนะบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งได้แล้ว!
แบบนี้สวรรค์ยังมีความยุติธรรมอีกหรือไม่?
แน่นอนว่าสถานการณ์ทางด้านหนานอวี่สิงเป็นอย่างใดนั้น ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้อยากจะทราบเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเดินทางห่างออกมาสักระยะหนึ่ง ในที่สุดทางด้านหน้าก็เป็นท้องฟ้าสว่างสดใสแล้ว!
ในที่สุดซั่งกวนจิ้งก็พูดขึ้นว่า
“ออกมาได้แล้ว!”
…
เมื่อได้ยินเสียงขององค์ปฐมกษัตริย์ ฉู่หลิวเยว่ก็รีบวิ่งพุ่งตรงไปด้านหน้า!
ในตอนนั้นนางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า บรรยากาศรอบข้างทั้งหมด เหมือนกับมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ที่แห่งนี้ไม่มีต้นไม้ปกคลุมแล้ว แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาอย่างร้อนแรง
ฉู่หลิวเยว่หยีตาลงเล็กน้อย จนกระทั่งดวงตาสามารถปรับแสงได้ จากนั้นก็มองไปที่ด้านหน้าอีกครั้ง
ดินแดนรกร้าง
กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ป้ายหลุมศพที่แตกหักจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายอยู่ทุกทิศ
พวกเขาเข้าไปในป่าวิญญาณสีชาดตอนเวลาเที่ยงวัน และเวลาประมาณสองชั่วยามก็สามารถออกมาได้
ตอนนี้เป็นเวลาช่วงเย็นแล้ว แสงแดดสาดส่องลงมาพอดี
แต่เมื่อหันมองทิวทัศน์โดยรอบที่อยู่ตรงหน้า คาดไม่ถึงว่ามันจะทำให้คนเราหนาวยะเยือกเช่นนี้
“ที่แท้ที่นี่ก็คือสุสานสังหารเทพ…”
ฉู่หลิวเยว่พูดพึมพำเสียงต่ำ
สุสานสังหารเทพ ความจริงแล้วก็เป็นสุสานดั่งชื่อ
บนท้องฟ้าเหมือนจะมีม่านพลังที่มองไม่เห็น ชั้นหนึ่ง
แสงอาทิตย์ร้อนแรงสาดส่อง ทุกอย่างถูกกันเอาไว้อยู่ด้านนอก
ไม่ว่าอากาศจะดีสักเพียงใด แต่ที่แห่งนี้ก็ยังคงหนาวเหน็บและอ้างว้าง
ลมปราณอึมครึมสายหนึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มี
“ที่แห่งนี้เป็นเพียงแค่ชายแดนของสุสานสังหารเทพเท่านั้น และผู้ตายที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นระดับผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงทั้งนั้น”
ซั่งกวนจิ้งอธิบาย
ฉู่หลิวเยว่กลั้นลมหายใจ
เพียงแค่มองไปรอบๆ ก็สามารถประมาณได้ว่าอย่างน้อยต้องมีหลุมศพมากกว่าร้อยหลุม!
อีกทั้งทั้งหมดนี้คือผู้ที่ตายอยู่ในระดับผู้แข็งแกร่งขั้นสูง!
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ในระดับนั้นแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะได้อยู่เพียงแค่บริเวณชายแดนของสุสานสังหารเทพเท่านั้น?
ถ้าเช่นนั้นด้านใน…
“หลังจากเดินผ่านที่นี่ไป ก็จะเข้าไปสู่ใจกลางของสุสานสังหารเทพ ซึ่งเป็นสุสานกลุ่มของผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์”
น้ำเสียงของซั่งกวนจิ้งเย็นชาอย่างยิ่ง
แต่เมื่อคำพูดนั้นเข้าในโสตประสาทของฉู่หลิวเยว่ นางรู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าลงมา!
สุสานกลุ่มของ… ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์?
ต้องมีศพจำนวนเท่าใดกันแน่ ถึงเรียกว่าสุสานกลุ่ม?
ก่อนหน้านี้นางรู้เพียงแค่ว่าสุสานสังหารเทพเป็นสถานที่ที่อันตรายเท่านั้น และได้ฝังศพของผู้แข็งแกร่งเอาไว้จำนวนมาก แต่ไม่รู้เลยว่าความเป็นจริงจะน่าตกใจเพียงนี้!
ต้องบอกก่อนว่า หากจะนับผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ในสำนักหลิงเซียวก็นับได้ไม่ถึงหนึ่งมือ!
แต่คาดไม่ถึงว่าที่แห่งนี้จะมีหลุมศพมากมายขนาดนั้น…
“หลายหมื่นปีก่อนหน้านี้ ที่แห่งนี้เคยเกิดสงครามเลือด ได้ยินมาว่าต้องต่อสู้กันถึงเก้าครั้ง ครั้งละเก้าวัน นานถึงแปดสิบเอ็ดวัน มีนักรบที่แข็งแกร่งจำนวนมากที่ต้องตายในสนามรบ และสุดท้ายก็ได้ฝังศพเอาไว้ที่นี่ จากนั้นจึงถือกำเนิดสุสานสังหารเทพขึ้นมา”
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่มีใบหน้าสงสัย ซั่งกวรจิ้งจึงอธิบายอย่างอดทน
“ในตำนานนั้น พลังปราณดั้งเดิมภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ยังคงมีเหลือล้น ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มากดั่งเช่นขนวัว แต่จำนวนก็ไม่ได้น้อย นั่นเป็นเหตุผลว่าสงครามเลือดในครั้งนี้ทำให้มีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากสิ้นชีพลงที่นี่ในเวลาเดียวกัน”
“ดังนั้นสงครามต่อสู้กันอย่างดุเดือดและร้อนแรง ดวงวิญญาณของทหารหาญที่เข้าร่วมรบเกือบจะถูกทำลายไปทั้งหมดแล้ว แม้กระทั่งเคล็ดวิชาและของวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนของพวกเขา ก็ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ สุสานสังหารเทพจึงขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่โหดร้าย”
ซั่งกวนจิ้งถอนหายใจออกมา ท่าทางเสียดายเล็กน้อย
“เพราะว่าสงครามในครั้งนั้นทำให้มรดกจำนวนนับไม่ถ้วนถูกตัดขาด”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้น แล้วถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“แล้วสาเหตุของสงครามอันดุเดือดเช่นนี้คือเรื่องอันใดเล่า?”
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การขัดแย้งระหว่างกองกำลังไม่กี่ฝ่าย แต่กลับมีคนจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง?
ซั่งกวนจิ้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เรื่องนี้ผ่านมาหลายหมื่นปีแล้ว คนรุ่นหลังจะรู้ได้อย่างใด? เพียงแต่ว่า… ในปีนั้นที่ข้ามาที่นี่ กลับได้เห็นเบาะแสอันใดเล็กน้อย”
“เหมือนว่าพวกเขาจะแย่งหนังสือเล่มหนึ่ง”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป
“หนังสือเล่มหนึ่ง? หนังสืออันใดกัน?”