ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1665 ลงมือ! ตอนที่ 1666 ที่มาของเขา
ตอนที่ 1665 ลงมือ!
ความเงียบเข้าปกคลุม
เสียงของเถาวัลย์ที่ถูกเผาไหม้อย่างต่อเนื่องชัดเจนมากเป็นพิเศษ
ชายสวมชุดสีดำผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว กระชับกระบองจรัสฟ้าในมือแน่น กระบองปักลงที่พื้น มือข้างหนึ่งกุมหัวใจของตนเองเอาไว้ แล้วทรุดตัวลงเล็กน้อย เหมือนกับเขากำลังได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
เพื่อการโจมตีครั้งนี้ เขาแทบจะโคจรพลังทั้งหมดในร่างกาย!
แต่ตอนนี้กลับถูกถวนจื่อเผาไปจนหมดสิ้น เขาจึงได้รับแรงสะท้อนกลับอย่างรุนแรงเป็นพิเศษ!
เขาจะสามารถทนรับมันได้อย่างไร?
หากเรื่องราวในครั้งนี้จบลง แล้วเขาไม่ได้รับการพักรักษาเป็นเวลาครึ่งปี เขาไม่สามารถฟื้นตัวกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน!
“ดี…ดีมาก!”
เขากัดฟันกรอด น้ำเสียงเล็ดรอดออกมาจากซอกฟัน แฝงด้วยความโกรธและเคียดแค้นที่ปิดบังไม่มิด!
“ซั่งกวนเยว่เจ้ายอดเยี่ยมมาก! ข้าดูเบาเจ้าเกินไปจริงๆ”
เขาคิดว่า หากเขาพาตัวนางมาที่นี่ เขาจะสามารถสำแดงพลังทั้งหมดที่และจัดการนางได้อย่างง่ายดาย
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ซั่งกวนเยว่จะเป็นเหล็กแกร่งเช่นนี้!
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนางแข็งแกร่งขึ้นกว่าครั้งที่แล้วที่เคยเจอกัน แต่ไพ่ไม้ตายของนางก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย!
โชคชะตาเช่นนี้ มันฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์เกินไปจริงๆ
หากยังคงยืดเยื้อต่อไป…
ใครแพ้ใครชนะก็ยากจะคาดเดา!
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจเขาอีกต่อไป เพียงแค่จ้องไปที่ค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าตาเขม็ง
ถวนจื่อยืนอยู่ตรงหน้าของนาง สองมือเท้าสะเอว
“เจ้าคิดร้ายกับอาเยว่ของพวกเรามาหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ? ครั้งนี้ยังจับคุณปู่ฉู่มาเป็นตัวประกันอีกด้วย จากนั้นเจ้าก็บีบบังคับให้อาเยว่มาที่นี่ ถุ้ย! ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์อันใดกัน ข้าว่าเจ้ามันก็แค่อันธพาลขี้ขลาด ไร้ยางอายคนหนึ่งเท่านั้น!”
“เรื่องเลวร้ายมากมายเจ้าก็ทำมาแล้ว แต่กลับไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง อ่า จริงสิ ข้าเกือบลืมไปเลย เดิมทีเจ้าน่าจะไม่มีใบหน้าสินะ!”
“คิดจะรังแกอาเยว่ของพวกเรา…เจ้าเคยถามข้าหรือยังว่าข้ายินยอมหรือไม่!”
ปากเล็กๆ ของพ่นคำพูดออกมาต่อเนื่องราวกับประทัด นางด่าอีกฝ่ายอยู่สักพักโดยคำไม่ซ้ำกันเลย
ชายสวมชุดดำได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน แทบอยากจะสังหารนางในทันที เพื่อให้นางได้หุบปากตลอดกาล!
“เจ้า!”
“เจ้า! แม้กระทั่งจะสู้กับข้ายังทำไม่ได้ แต่ยังคิดจะไปสู้กับอาเยว่ ถุ้ย! ดูตัวเองก่อนสิว่าเจ้าเหมาะสมหรือไม่!”
“เจ้า!”
“ไม่ยอมแพ้อย่างนั้นหรือ? ได้ เข้ามาอีกสิ!”
ชายสวมชุดคลุมสีดำรู้สึกโกรธมากจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ
เขามีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ ไม่เคยโดนเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมชี้หน้าด่าแบบนี้มาก่อนเลย!
ฉู่หนิงอ้าปากค้างเบิกตากว้าง
“มะแม่นางน้อยคนนั้นคือ…”
มุมปากของหรงซิวยกยิ้มขึ้น
“นางคือหงส์ทองคำสัตว์อสูรในพันธสัญญาของเยว่เอ๋อร์ เป็นตัวที่เคยติดตามนางมาโดยตลอดก่อนหน้านี้ ท่านเรียกนางว่า ถวนจื่อ ก็พอ”
“…”
ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้มันจะไม่ได้มีลักษณะแบบนี้นะ…
ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมสัตว์อสูรในพันธสัญญาของนางจึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้เล่า?
ฉู่หนิงรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสบพบเจอในวันนี้มันเหนือจินตนาการมากเกินไป
ต่อให้เขาได้เห็นกับตาตัวเอง ในตอนนี้เขาก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย
ชายสวมชุดสีดำคนนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด เมื่อครู่นี้เขาก็ได้เห็นมาหมดแล้ว
แต่ถวนจื่อนั้น…คาดไม่ถึงว่าจะสามารถทำลายการโจมตีได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น?
อีกทั้งดูเหมือนว่าถวนจื่อจะอายุยังน้อย แต่ฝีปากกลับเผ็ดร้อนเป็นอย่างมาก
“ถวนจื่อ…ถวนจื่อผู้นี้เฉลียวฉลาดและแข็งแกร่งมาก…”
ฉู่หนิงครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็มีเพียงคำนี้ที่สามารถแสดงออกอย่างสละสลวยเท่านั้น
มุมปากของหรงซิวมีรอยยิ้มกดลึกขึ้น
“นางคือคนที่เยว่เอ๋อร์พามา ดังนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”
ในตอนนี้ชายสวมชุดสีดำอยู่ในภาวะโกรธจนเป็นบ้าไปแล้ว
เขาโจมตีสองครั้งติดต่อกัน แต่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงร่างกายของซั่งกวนเยว่เลย!
หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ไม่รู้ว่าจะต้องมีอีกสักกี่คนที่หัวเราะจนฟันหลุดร่วง!
“ดี! ในเมื่อเจ้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ อย่างนั้นเจ้าก็รับกระบวนท่าที่สามของข้าไปชิม!”
ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยมือจากกระบองจรัสฟ้า สองมือประสานกันไว้ที่ด้านหน้า
“กระบองจรัสฟ้าระดับที่สาม…กลับสวรรค์!”
บนกระบองไม้สีดำมีอักขระยันต์ตัวที่สามปรากฏขึ้นมาอย่างเชื่องช้า!
ตอนที่ 1666 ที่มาของเขา
ทันใดนั้นฟ้าก็มืดครึ้มลงในทันที
เมฆดำรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ความมืดมิดกองรวมกัน จนมองไม่เห็นแสงสว่าง
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเวลาเที่ยงวัน ท้องฟ้ากลับมืดดำราวกับใกล้ช่วงพลบค่ำ
รอบข้างถูกปกคลุมด้วยเงาดำเข้มข้นทั้งหมด
เสียงลมหยุดตัวลง
เหนือดินแดนรกร้างว่างเปล่ามีเพียงความเงียบสงัดที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
ความเงียบเช่นนี้ กลับทำให้คนรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้นสองมือของชายสวมชุดสีดำก็จับกระบองจรัสฟ้าแน่น ก่อนจะชี้กระบองขึ้นฟ้า!
“ไป!”
เสียงนี้แหบพร่าและดูห่างไกล พร้อมกระจายออกไปทั่วฟ้าดิน!
ในตอนนั้นเองอักขระยันต์ตัวที่สามบนกระบองจรัสฟ้าก็ระเบิดออกมาเป็นลำแสงสีเลือด! และพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า!
พรึ่บ!
ความว่างเปล่าสั่นสะเทือน!
พลังสวรรค์และโลกที่อยู่รอบข้างโดนผลกระทบและเริ่มสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง!
ลำแสงสีเลือดพุ่งตรงไปบนท้องนภา ฉีกกลุ่มเมฆที่รวมตัวหนาจนกลายเป็นรูสายหนึ่ง!
เหมือนกับก้อนหินที่ตกลงสู่ทะเลสาบอันราบเรียบ ภายในชั่วพริบตาเดียวก็เกิดระลอกขึ้นกระจายตัวออกไป!
เหนือน่านฟ้า เมฆดำพวยพุ่งซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ
หลุมสีเลือดแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นกลางชั้นเมฆดำ
โดยมีลำแสงสีเลือดบนกระบองจรัสฟ้าเป็นศูนย์กลาง ก่อนจะแพร่กระจายออกไปรอบข้างอย่างไร้เสียง!
หลังจากนั้นไม่นานท้องฟ้าครึ่งหนึ่งก็ถูกย้อมด้วยสีเลือด ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนตกใจเป็นอย่างยิ่ง!
สีดำแดงสองสีผสานกัน
จิตสังหารอันเข้มข้นขยายออกไปอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็กดทับลงมาที่พื้น จนแทบทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก!
ในตอนนี้เหมือนว่าเวลาจะหมุนผ่านอย่างเชื่องช้าเป็นพิเศษ
ลำแสงสีเลือดพุ่งออกมาจากกระบองจรัสฟ้าผสานเข้ากับท้องนภา
ฟ้าดินมืดมิด มีเพียงลำแสงสีเลือดนี้เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
พลังบนนั้นไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สีเลือดที่อยู่บนท้องฟ้าค่อยๆ จางลง แต่กลับขยายวงกว้างมากขึ้น
จากนั้นมันก็ปกคลุมทั่วท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว
ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ อยู่ภายในรัศมีสีเลือดนี้ไปในทันที
หรงซิวเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาหงส์ที่ล้ำลึกหรี่ตาลงดูท่าทางอันตราย
เมื่อดูไปแล้ว เหมือนว่าเขาต้องการแย่งของสิ่งนั้นจากเยว่เอ๋อร์มาโดยไม่สนใจวิธีการแล้ว…
การแสดงพลังในครั้งนี้แทบจะอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต
ดวงตาของเขาเหมือนมีระลอกคลื่นสาดซัด แสงสีดำทองพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เขาค่อยๆ หลับตาลง ในตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาก็กลับมาสงบราบเรียบเช่นเดิมแล้ว
ฉู่หนิงที่ยังอยู่ด้านข้างของหรงซิว หัวใจก็มาจุกที่ลำคอแล้ว เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างยิ่ง
สองหมัดของเขากำแน่น ปากแผลปริแตกโดยที่เขาแทบจะไม่รู้สึกตัวเลย
ดวงตาคู่นั้นจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ไม่ไกลตาเขม็ง
นางจะต้อง…ปลอดภัยอย่างแน่นอน…
การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แม้รัศมีห่างออกไปร้อยลี้ก็ยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน
หนานอวี่สิงและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น
เดิมทีพวกเขาก็สนใจสถานการณ์ของทางนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขณะที่เห็นลำแสงสีเลือดพุ่งขึ้นฟ้า พวกเขาก็รู้สึกตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด
“นั่นมันอันใดกัน?”
คิ้วเรียวดั่งก้านหลิวของหนานอีอีขมวดขึ้นเป็นปม ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและตื่นตระหนก
แม้จะอยู่ในระยะที่ไกลขนาดนี้ นางก็ยังสามารถสัมผัสปราณมารและแรงกดดันที่น่าหวาดกลัวจากลำแสงสีเลือดนั้นได้!
นางวางมือด้านหนึ่งที่หัวใจข้างซ้าย!
“ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์โจมตีเต็มกำลัง…ไม่อาจดูเบาได้จริงๆ”
“ดูเหมือนว่าชายที่สวมชุดสีดำผู้นั้นจะลงมืออย่างเต็มกำลังแล้ว”
หนานอวี่สิงหรี่สายตามอง ภายในใจมีทั้งความหวาดกลัวระคนยินดี
ที่หวาดกลัวก็เป็นเพราะว่า ฝีมือของชายสวมชุดดำคนนั้นแข็งแกร่งจริงๆ ต่อให้พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ และต่อสู้พร้อมกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย!
แต่ที่ยินดีก็เป็นเพราะว่า คนที่จะต้องได้รับการโจมตีนี้ต้องเป็นหรงซิวและคนอื่นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย!
“คนผู้นั้นตั้งใจจะเอาชีวิตพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางยั้งมือเด็ดขาด”
ผู้อาวุโสอูเผิงพูดขึ้นเสียงทุ้มต่ำ คิ้วของเขาขมวดขึ้น เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เพียงแต่ว่า…”
“เพียงแต่อันใดหรือ?”
หนานอวี่สิงถามขึ้นมาในทันที
ผู้อาวุโสอูเผิงเงียบไปครู่หนึ่ง
“เพียงแต่ว่าจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังคิดไม่ออกว่า ที่เขาบอกว่าที่แห่งนั้นเป็นถิ่นของเขา…คำพูดนี้หมายความว่าอย่างใดกันแน่?”
หนานอวี่สิงชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง
คำพูดนี้…ก็มีความหมายตรงตามตัวไม่ใช่หรือ?
หรือว่ายังจะสามารถเข้าใจแบบอื่นได้อีกด้วย?
ผู้อาวุโสอูเผิงตกอยู่ในความเงียบ
หนานอวี่สิงอายุยังน้อย ดังนั้นจึงไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับสุสานสังหารเทพมากนัก แต่เขากลับเคยได้ยินเรื่องเล่าและตำนานที่เกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้มาเป็นจำนวนไม่น้อย
ตั้งแต่สงครามที่น่าตกตะลึงเมื่อหมื่นปีก่อน ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนต้องมาตกตายที่สุสานสังหารเทพ
หลังจากนั้นหลายเดือนต่อมา ที่แห่งนี้ยังคงมีจิตสังหารเข้มข้นไม่จางหายไปไหน
ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีฝีมือแข็งแกร่ง หากต้องการจะเข้ามาที่นี่ก็ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เขาไม่เคยได้ยินใครกล้าพูดว่าสุสานสังหารเทพเป็นถิ่นของตนเองมาก่อนเลย
แม้ว่าที่แห่งนั้นจะเป็นพื้นดินเล็กๆ ก็ตาม
ต้องบอกก่อนว่า ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มีฝีมือระดับยอดในอดีตถูกฝังเอาไว้ที่นี่ทั้งหมด
โดยเฉพาะที่ที่พวกเขาอยู่เมื่อครู่นี้ ที่แห่งนั้นคือสุสานกลุ่มของผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ หากเดินเหยียบย้ำเข้าไป บางทีอาจจะเหยียบถูกกระดูกของผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์สักคนเข้าก็ได้!
แต่สิ่งที่ชายสวมชุดดำคนนั้นพูด…ก็เหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก…
“ขะ…ข้ากลับรู้สึก…คุ้นเคยกับลมปราณบนร่างกายของเขาเล็กน้อย…”
ผู้อาวุโสไป๋ถงที่เงียบไปนานเพราะต้องฟื้นฟูพลังของตนเอง ในที่สุดตอนนี้เขาก็พูดขึ้นแล้ว
ผู้คนทั้งหลายหันไปมองเขาโดยพร้อมเพรียง
ผู้อาวุโสอูเผิงขมวดคิ้วขึ้น
“คุ้นเคย? หรือว่าเจ้าจะมองฐานะของเขาออก?”
ผู้อาวุโสไป๋ถงส่ายหน้า
เพราะว่าเขาถูกตัดขาออกไป ในตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงใช้ไม้เท้าค้ำยันร่างกาย ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากไร้สี หน้าซูบโทรมเป็นอย่างมาก
แม้กระทั่งเสียงของเขาตอนพูดก็ยังอ่อนแรงเป็นอย่างมาก
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองผู้อาวุโสอูเผิงด้วยแววตาสับสน
“…หรือเจ้าไม่คิดว่ารัศมีของชายสวมชุดสีดำคนนั้นมีส่วนคล้ายกับคนของถ้ำปีศาจทมิฬหรือ?”
“ถ้ำปีศาจทมิฬ?”
ผู้อาวุโสอูเผิงและคนอื่นๆ ผงะไปพร้อมกัน
“พวกเขาหลบซ่อนจากทางโลกไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วไม่ใช่หรือ?”
หนานอวี่สิงขมวดคิ้วมุ่น
ตระกูลหนานของพวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ติดต่อกับถ้ำปีศาจทมิฬเลย
หลังจากถ้ำปีศาจทมิฬหลบหายไปแล้ว ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ถ้าผู้อาวุโสไป๋ถงไม่ได้เป็นคนพูดขึ้นมา เกรงว่าหนานอวี่สิงก็ยากจะคิดชื่อนี้ออกมาได้
“พฤติกรรมของพวกเขากำเริบเสิบสานมาโดยตลอด อีกทั้งภายในสำนักไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตหรือคนตัวเล็กๆ ได้ยินมาว่าพวกเขาล้วนลงมืออย่างโหดเหี้ยม แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้จะไม่ได้ยินเรื่องของพวกเขาเลย แต่…คนของถ้ำปีศาจทมิฬก็ไม่ใช่คนที่รับมือง่าย”
ผู้อาวุโสอูเผิงมีประสบการณ์มามากมาย เคยผ่านลมพายุน้อยใหญ่มากมายมาแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเผชิญหน้ากับคนของถ้ำปีศาจทมิฬ แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับถ้ำปีศาจทมิฬมาไม่น้อย
หลายปีก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าพวกเขาได้รับการกระตุ้นจากเรื่องอะไร แต่หลังจากนั้นข่าวคราวของเขาก็หายไปในกลีบเมฆ
“แต่ในตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด…เหมือนว่าผู้ชายคนนั้น…จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนของถ้ำปีศาจทมิฬ”
ผู้อาวุโสอูเผิงจมอยู่ในความคิด
“เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่…”
“ไม่ว่าเขาจะมีฐานะอันใดกันแน่ ตราบใดที่สามารถจัดการคนเหล่านั้นได้มันก็เพียงพอแล้ว!”
หนานอวี่สิงโบกมือ แล้วพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน
พวกเขาสองคนได้รับความเสียเปรียบจากน้ำมือของหรงซิว แน่นอนว่าเขาต้องการจะแก้แค้น
แม้ว่าในตอนนี้จะไม่สามารถลงมือด้วยตนเองได้ ดังนั้นจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ว่า…หากสามารถจัดการพวกเขาได้ เช่นนั้นก็ดีมากแล้ว
หนานอีอีได้ยินดังนั้นจึงเม้มริมฝีปาก เหมือนกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
หนานอวี่สิงเหลือบสายตาหันไปมอง เมื่อดูจากสีหน้าของนางแล้ว มีหรือที่เขาจะคาดเดาไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่?
ใบหน้าของเขาเย็นชาขึ้น
“อีอี หรือเจ้ายังคงคิดถึงหรงซิวผู้นั้นอยู่!”
……….