ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1674 เมื่อปีนั้น
ตอนที่ 1674 เมื่อปีนั้น
……….
ชายสวมชุดสีดำกำหมัดกรอดอย่างไม่รู้ตัว
เขาออกมาจากถ้ำปีศาจทมิฬหลายปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อของคนผู้นั้น เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เสมอ
จนกระทั่งวันนี้ก็เป็นเช่นเดิม
“ข้า…ข้า…”
เขาพูดขึ้นและอยากจะโต้เถียงให้ตนเองสองประโยค เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอย่างไร
สายตาของหรงซิวคมกริบดุจคมมีด และแทงเข้ามาที่หัวใจของเขาโดยตรง
เหมือนกับว่าคำโกหกทั้งหมดนั้น เมื่ออยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นเพียงแค่เรื่องตลกเท่านั้น!
“เจ้า…เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?”
คนที่รู้ว่ามั่วสือเชียนกำลังตามหาไข่มุกธาราอยู่ตลอดเวลานั้นมีไม่มาก
แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เขาจะเป็นคนที่พูดจาโอ้อวดมากก็ตาม
แต่มั่วสือเชียนเป็นคนทำอะไรก็ละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะหลายปีที่ผ่านมานี้ เหมือนว่าจะละเอียดมากยิ่งขึ้น
แต่ในครั้งนี้เขาจงใจล่อให้ซั่งกวนเยว่มาที่นี่เพื่อจะได้หลบเลี่ยงสายตาของมั่วสือเชียน
คิดไม่ถึงเลยว่าหรงซิวจะ…!
“เขามาตามหาตัวข้าแล้ว แล้วเจ้าคิดว่าข้ารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรเล่า?”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้เขาไม่สามารถออกจากถ้ำปีศาจทมิฬได้ เจ้าคิดว่าตนเองจะอยู่รอดปลอดภัยได้จนถึงตอนนี้หรือ?”
ชายสวมชุดคลุมสีดำกัดฟันกรอด ความเงียบแทบจะทำให้คนหายใจไม่ออก
เมื่อได้ยินดังนั้นฉู่หลิวเยว่กลับกะพริบตาปริบๆ เผยใบหน้าสงสัยออกมาหลายส่วน
“มั่วสือเชียนไปหาเจ้ามาแล้วหรือ?”
หรงซิวถอนสายตากลับมา รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา
“หากพูดให้ถูกต้องก็คือ เจ้าก็เคยเจอเขามาแล้ว สิ่งที่ปรากฏกายในบุพกาลชายแดนเหนือคือภาพมายาของร่างเขา”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก!
ที่แท้คนผู้นั้นก็คือมั่วสือเชียน!
นางรู้ว่านอกจากชายสวมชุดคลุมสีดำผู้นี้! ยังมีคนที่ต้องการจะลงมือโจมตีนางอยู่เสมอ แต่นางกลับคิดไม่ถึงในเรื่องนี้
แม้จะนับว่านางเคยเจอหน้าเขามาก่อน แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมาเลย นางจึงไม่รู้รายละเอียดที่ชัดเจนมากนัก
คิดไม่ถึงว่า…
หรงซิวเหลือบสายตามองไปทางผู้ชายสวมชุดสีดำคนนั้น แล้วพูดเสียงเรียบขึ้นว่า
“หลายปีก่อนหน้านี้ ลูกน้องของมั่วสือเชียนคนหนึ่งมีชื่อว่า ซานเฉิน คนผู้นี้มีพรสวรรค์โดดเด่น อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากมั่วสือเชียน ภายในเวลาไม่กี่ปี จากบุคคลไร้นามก็กลายมาเป็นมือขวาของมั่วสือเชียน”
“มีข่าวลือบอกมาว่ามั่วสือเชียนจะมอบตำแหน่งแปดหัวหน้าของถ้ำปีศาจทมิฬให้แก่เขา แต่น่าเสียดายเขายังไม่ทันได้มอบตำแหน่งให้ คนผู้นั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข่าวคราวและข้อมูลของเขาผู้นั้นก็ถูกคนของถ้ำปีศาจทมิฬปิดและลบทิ้งภายในชั่วข้ามคืน ทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีคนผู้นี้อยู่ในสำนักมาก่อน”
“หลายคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่ใครจะคิดเล่าว่าคนที่เคยมีความสำคัญในถ้ำปีศาจทมิฬ ความจริงแล้วจะมาหลบซ่อนตัวอยู่ในสุสานสังหารเทพ อีกทั้งยังหลบซ่อนอยู่หลายปี”
หรงซิวพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า แต่คำพูดแต่ละคำของเขานั้น เหมือนกับมีดเหล็กที่กรีดลงบนร่างกายของชายสวมชุดคลุมสีดำอย่างแรง!
ในตอนแรกเขามีสีหน้าตกใจ สงสัย ไม่อยากจะเชื่อ สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังและหวาดกลัว
เดิมทีเขายังอยากจะปฏิเสธ แต่หรงซิวพูดอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว คำพูดเพียงไม่กี่คำก็เปิดเผยภูมิหลังของเขาทั้งหมดแล้ว!
ยังมีอะไรให้โต้แย้งอีกหรือ?
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้นก็เข้าใจอะไรขึ้นมาบางอย่าง เมื่อหันมองชายสวมชุดคลุมสีดำ นางก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ในตอนแรกที่เจ้าหักหลังถ้ำปีศาจทมิฬ ก็เพื่อแย่งชิงของของข้าหรือ?”
ชายสวมชุดคลุมสีดำหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาในทันที
“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้ารู้หมดทุกเรื่องแล้วหรือ? ยังจะมาถามข้าอีกเหตุใด?”
ท่าทางกำเริบเสิบสาน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการให้ความร่วมมือ
หรงซิวก็พูดขึ้นอย่างใจเย็นไม่รีบไม่ร้อน
“หากเจ้าพูดจาดีๆ ข้าจะมอบรางวัลให้ แต่ถ้าเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป…ข้าคิดว่า มั่วสือเชียนเองก็น่าจะมีความสุขที่ได้รับของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นนี้”
เขายอมตายด้วยน้ำมือสองคนนี้ ดีกว่ากลับไปเผชิญหน้ากับมั่วสือเชียน!
สิ่งที่เขาทำมาตลอดหลายปีนี้ก็เพียงพอที่ทำให้เขาต้องอยู่ไม่สู้ตายนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว!
เขาจมอยู่ในเงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุดก็กัดฟันแล้วพูดขึ้นว่า
“เจ้าพูดจริงหรือไม่? หากข้าพูดออกไปทั้งหมดแล้ว แต่สุดท้ายพวกเจ้ากลับคำล่ะ?”
หรงซิวหัวเราะเสียงเบา
“ตอนนี้เจ้ายังมีสิทธิ์ที่จะต่อรองอีกหรือ?”
ในตอนนั้นชายสวมชุดสีดำก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ไม่ว่าเขาจะเลือกอย่างไร ความจริงแล้วก็ล้วนเป็นทางตัน
มีเพียงข้อแตกต่างเดียวเท่านั้นคือ ก่อนตายเขาจะเจ็บปวดมากหรือน้อย?
หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พูดขึ้นว่า
“ข้าจะพูด!”
“ความจริงแล้วเมื่อหลายปีก่อน ถ้ำปีศาจทมิฬก็ต้องการหาของสิ่งนี้มาโดยตลอด แต่เมื่อสองสามปีก่อนกลับได้รับโอกาสหนึ่ง มั่วสือเชียนได้รับข่าวมาว่า ของสิ่งนั้นปรากฏขึ้นมาแล้ว ดังนั้นจึงพาคนสองสามคนติดตามสืบเสาะด้วยตนเอง และข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ตอนนั้นแม้พวกเรารู้ว่าเขากำลังหาอันใดอยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก รู้เพียงแค่ว่าของสิ่งนั้นมันสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก”
“พวกเราตามแกะรอยของสิ่งนั้นไปอย่างยากลำบาก ค้นหามันเป็นระยะเวลานานโดยไม่หยุดพัก ระหว่างนั้นก็ยังได้เผชิญกับอันตรายมากมายนับไม่ถ้วน จนสุดท้ายตอนที่พวกเราเห็นของสิ่งนั้น ก็เหลือเพียงข้ากับเขาที่ยังมีชีวิตอยู่”
“เดิมทีข้าคิดว่า เมื่อตามหาของสิ่งนั้นจนเจอแล้ว เรื่องก็จะจบ ความจริงได้ยืนยันว่าข้านั้นคิดมากเกินไป”
ทันใดนั้นชายสวมชุดคลุมสีดำก็หัวเราะเยาะตนเอง
“ของสิ่งนั้นเฉลียวฉลาด มันไม่ยอมรับเขาเป็นนาย และต่อสู้กับพวกเราอีกด้วย และเพราะการต่อสู้ในครั้งนั้นทำให้ข้าต้องสูญเสียกายเนื้อ ส่วนเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนกระทั่งวันนี้ก็ไม่สามารถออกจากถ้ำปีศาจทมิฬได้”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้น
นางไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยจริงๆ
นางจำได้ว่า ตอนที่นางได้รับไข่มุกธารานั้น ก็เหมือนว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง
อีกทั้งในตอนนั้นนางก็ไม่ได้ดูอย่างชัดเจนว่าของสิ่งนั้นคืออะไร แต่มันกลับเข้ามาอยู่ในร่างกายของนางแล้ว
เฉลียวฉลาด…แน่นอนว่ามันฉลาด แต่ว่าเหมือนว่าจะไม่มีการต่อสู้ขัดขืนเลย?
เหตุใดจากที่เขาพูด…ดูเหมือนยากลำบากและอันตรายยิ่ง?
ภายในเสียงของชายสวมชุดคลุมสีดำยังมีความหวาดกลัวอยู่สายหนึ่ง
“ในตอนนั้นเพื่อแย่งชิงของสิ่งนี้ เขาต้องการจะหลอมจิตวิญญาณของข้าไปเป็นเหยื่อล่อ และทำให้มันยอมจำนน แต่น่าเสียดายที่ข้ากลับสังเกตเห็นเสียก่อน ข้าจึงหนีเอาตัวรอดอย่างสุดชีวิต จากนั้นก็ได้บุกเข้ามาในสุสานสังหารเทพอย่างไม่รู้ตัว และได้พบกับโชคชะตา ดังนั้นข้าจึงอยู่ที่นี่พร้อมตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งหมดจากถ้ำปีศาจทมิฬ”
ที่แท้ก็เป็นเพราะว่ามั่วสือเชียนเริ่มจะสังหารเขาก่อน มิน่าล่ะ…
“ความสัมพันธ์ของเจ้ากับป้ายไม้สีดำเป็นอย่างไรกันแน่ มันขาดกันไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้น
ชายสวมชุดสีดำหลับตาลง
“ถูกต้อง ตอนที่เขาจะหลอมจิตวิญญาณของข้า จึงได้ยกเลิกข้อจำกัดบางอย่าง นั่นจึงทำให้ข้ามีโอกาสหนีรอดได้ และด้วยเหตุนี้หลายปีที่ผ่านมาคนของถ้ำปีศาจทมิฬจึงไม่สามารถหาร่องรอยของข้าพบ”
ไม่รู้ว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้าย
“นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าก็รู้ว่าของสิ่งนั้นเป็นของวิเศษที่สุดในใต้หล้า หากข้าอยากจะแก้แค้น ข้าจำเป็นจะต้องแย่งของสิ่งนี้มา แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือเขา ก็มาช้ากว่าเจ้าไปหนึ่งก้าว”
ชายสวมชุดสีดำจ้องมองฉู่หลิวเยว่ตาเขม็ง ก่อนจะหัวเราะเยาะเย้ยออกมา
“ความจริงแล้วหากพูดให้ถูกต้องก็คือ ของสิ่งนั้นเลือกเจ้า ต่อให้คนอื่นพยายามมากเท่าใด ก็ไม่มีประโยชน์”
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยยอมรับมาตลอด ตอนนี้ไม่ยอมก็ต้องยอมแล้ว
พวกเขาผ่านความเป็นความตายมาตั้งหลายครั้งก็ยังไม่สามารถนำของชิ้นนั้นกลับไปได้ แต่นางกลับสามารถครอบครองได้อย่างง่ายดาย
มีบางครั้งที่ช่องว่างระหว่างผู้คนก็กว้างใหญ่มาก
“หลังจากที่ของสิ่งนั้นติดตามเจ้าไปแล้ว พวกเราก็ต่างฝ่ายต่างจับตามองเจ้าอยู่ตลอด”