ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1675 ทำให้พวกท่านผิดหวังแล้ว
ตอนที่ 1675 ทำให้พวกท่านผิดหวังแล้ว
……….
“เพียงแต่หลายปีมานี้ ข้าเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืดมาตลอด มิเคยเปิดเผยร่องรอยใดให้เขาจับได้ ช่างน่าเสียดาย…”
เพื่อทำการนี้ เขาต้องระแวดระวังเป็นอย่างมาก
เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าทันทีที่มั่วสือเชียนรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังลักเอาของสิ่งนั้นมาไว้กับตัว จะคิดสรรหาวิธีการแบบใดมาจัดการเขา
ทุกการลงมือ เขาล้วนแต่เลือกเวลาที่เหมาะสม เตรียมการทุกสิ่งอย่างดี จึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้
จนกระทั่งครานี้ได้เวลาประจวบเหมาะ เขาก็ใช้ประโยชน์จากฉู่หนิงหลอกล่อให้นางมาหา
เดิมคิดว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบไร้ข้อผิดพลาด อย่างใดต้องบรรลุผลได้แน่ น่าเสียดายนัก คนล่วงรู้หรือจะสู้ลิขิตฟ้า
สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ยับเยินจนหมดสิ้นท่า
“เรื่องราวจนบัดนี้ ที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว”
บุรุษชุดดำเอ่ยพลางหลับตา เป็นเชิงว่าจะแล่เนื้อเถือหนังกันอย่างใดก็สุดแล้วแต่พวกเจ้าจะจัดการ
สี่ทิศรอบด้านเงียบสงัดไร้เสียง หลงเหลือเพียงสายลมพัดผ่านพื้นที่รกร้างอันนำพาไอเย็นยะเยือกมาคอยส่งเสียงหวีดหวิวคลอข้างหู
ฉู่หลิวเยว่จ้องเขาเขม็งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ใช้เวลาพักใหญ่ครุ่นคิดสิ่งที่เขาพูดมาเมื่อครู่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็สาวเท้าก้าวไปข้างหน้า
บุรุษชุดดำคิดว่านางจะลงมือเป็นแน่แท้แล้ว ในใจพลันรู้สึกปลอดโปร่งอยู่หลายส่วน
ทว่าที่เหนือความคาดหมายคือ ฉู่หลิวเยว่กลับมิได้ตั้งท่าเตรียมสังหารเขา
“ข้ายังมีคำถามอีกสองข้อ หากเจ้าตอบอย่างจริงใจ ข้าจะเป็นคนส่งเจ้าด้วยตัวข้าเอง”
บุรุษชุดดำเบิกตากว้าง หัวคิ้วย่นขมวดเป็นปม
เขาเล่าทุกอย่างจนหมดเปลือกแล้ว นางยังมีสิ่งใดอยากถามอีก?
หากแต่มองดูสีหน้าของฉู่หลิวเยว่มิได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด เขาจึงถามออกไปด้วยท่าทีอดกลั้น
“อันใด?”
“ข้อแรก ปีนั้นที่เจ้าตั้งใจจะแก้แค้น จึงตัดสินใจแย่งของชิ้นนี้มาจากเขา เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้ารู้ว่าสิ่งนี้คืออันใด? ข้อสอง ตอนที่เจ้ากับข้าประมือกันเมื่อครู่ เจ้าหันรีหันขวางรั้งรออันใด?”
ฉู่หลิวเยว่ถามคำถามสองข้อนี้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง
หากแต่สีหน้าของบุรุษชุดดำกลับเปลี่ยนทันควัน
เขาเบี่ยงสายตาหลบโดยไม่รู้ตัว หัวคิ้วเองก็ย่นเข้าหากัน ผ่านไปพักใหญ่ก็เอ่ยปากตอบ
“ของของเจ้า เจ้าไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด ไฉนผู้อื่นจะไปรู้กับเจ้าด้วย? ส่วนเรื่องเมื่อครู่… เป็นเจ้าที่ตาฝาดแล้ว ข้าไม่ได้รออันใดทั้งนั้น”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะน้อยๆ
“ดูท่าเจ้าจะอยากกลับถ้ำปีศาจทมิฬเร็วๆ แล้วซีนะ”
“เจ้า…”
ลมหายใจของบุรุษชุดดำขาดห้วงโดยพลัน
โชคไม่ดีที่บัดนี้เขาเป็นดั่งปลาบนเขียงคนเขา ต่อให้รู้สึกคับข้องใจก็ไร้ซึ่งทางเลือกอื่น
บรรยากาศทั้งสองฝ่ายตกสู่สภาวะแข็งกระด้าง
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงยอมเอ่ยปากออกมาอย่างลำบากใจ
“นั่นคือ…”
ฉัวะ!
สุ้มเสียงของบางสิ่งที่ฉีกขาดดังแว่วขึ้นมา!
ชุดคลุมดำบนร่างของเขาพลันราวถูกคมมีดไร้รูปร่างกรีดเข้าอย่างรุนแรง!
แววตาของหรงซิวดำมืดลง ตัดสินใจลงมือฉับพลัน!
ทว่าสายไปเสียแล้ว
ชุดคลุมดำผืนนั้นฉีกขาดด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่าเก่า ก่อนสลายกลายเป็นผุยผง!
จากนั้นดวงจิตของบุรุษผู้นั้นเองก็สูญสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน!
…
ในชั่วพริบตา บุรุษชุดดำก็สลายหายไปดั่งหมอกควัน
กระทั่งร่องรอยสักเสี้ยวก็ไม่เหลือไว้
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“เมื่อครู่นั่นมัน…”
“ชุดคลุมดำนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคงอยู่ได้มานานขนาดนี้ บางทีด้วยเหตุผลบางอย่าง ชุดคลุมดำนั่นถึงได้ทำลายตนเองจนพาลให้เขาถูกสังหารตามไปโดยสิ้นเชิง”
แววตาของหรงซิวทอประกายโกรธเกรี้ยว
“น่าเสียดายนัก…”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“อย่างใดเสียเรื่องที่ควรถามเราก็ถามหมดแล้ว ส่วนคำถามสองข้อสุดท้ายนั่น… จริงๆ แล้วข้าเพียงแค่อยากยืนยันท่าทีของเขา สุดท้ายแล้ว เขาเองก็เป็นแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้น”
หรงซิวเหลือบมองนาง
มุมปากของฉู่หลิวเยว่หยักยกน้อยๆ จากนั้นก็มองไปรอบตัว แล้วเอ่ยถามแฝงความนัย
“สุสานสังหารเทพแห่งนี้เอง… ก็เก็บงำความลับนับไม่ถ้วนเอาไว้อยู่จริงๆ มิใช่หรือไร?”
คราแรกนางยังไม่ค่อยแน่ใจนัก
ทว่าปฏิกิริยาของบุรุษชุดดำเมื่อครู่กลับยืนยันข้อคาดเดาของนางเอาไว้
เพียงแต่ว่าหลังจากที่นางมาถึงที่นี่ ก็หาได้สัมผัสถึงภัยคุกคามอันใดไม่
โดยเฉพาะหลังจากที่หินพวกนั้นมาติดหนึบเข้ากับตัวนาง นางก็รู้สึกว่าเดินเทียวไปเทียวมาในสุสานสังหารเทพได้อย่างเบาใจขึ้นเยอะ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้แก้ปัญหาคาราคาซังที่กวนใจนางมาหลายปีได้เรียบร้อยเสียที
ก็นับได้ว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว
“พวกข้าจะมุ่งหน้าไปหาองค์ไท่จู่ก่อน หลังรวมตัวกันเรียบร้อยแล้วค่อยออกไปจากที่นี่”
ฉู่หลิวเยว่กล่าว
หรงซิวพยักหน้า กำลังจะเอ่ยปาก สีหน้าพลันกระตุกกึก ก่อนจะเอนศีรษะขวับไปมอง
ฉู่หลิวเยว่มองตามครรลองสายตาของเขา ก็เจอเข้ากับเงาร่างคุ้นเคยหลายร่างกำลังปรากฏสู่สายตา
มุมปากของนางเหยียดออกน้อยๆ หากแต่ในแววตากลับมิปรากฏรอยยิ้มเลยสักเสี้ยว
“ช่างเป็นวิญญาณตามหลอกหลอนไม่เลิกราเสียจริง…”
…
ในจังหวะเดียวกันกับที่หรงซิวและฉู่หลิวเยว่จ้องมองมา ผู้อาวุโสอูเผิงก็ชะงักฝีเท้าลง
พวกหนานอวี่สิงที่เดินคล้อยหลังเขาเองก็ล้วนหยุดตามกัน
มาจนถึงจุดนี้ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถมองภาพฉากตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้ากลับทำให้พวกเขาล้วนแต่นิ่งอึ้งอยู่กับที่
“เหตุใด… เหตุใดพวกมันถึงยังมีชีวิตรอดเล่า!?”
หนานอวี่สิงมีสีหน้าตื่นตะลึง พึมพำเสียงต่ำอย่างไม่เชื่อสายตาตนจนเกือบสงสัยแล้วว่าเป็นตัวเองมองผิดไป
เขาขยี้ตาก่อนจะปรายตามองให้ถี่ถ้วน กลับพบว่าในครรลองสายตาปรากฏภาพสองคนนั้นดังเดิมมิเปลี่ยน
อ้อไม่ เป็นสี่คนต่างหากเล่า!
นอกจากพวกหรงซิวสองคนที่พบเจอเมื่อคราแรกแล้ว แม่หนูตอนก่อนหน้านี้ก็ปรากฏตัวอยู่ด้วย!
ข้างกันนั้นยังมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เปรอะด้วยคราบเลือดทั่วทั้งร่าง สภาพดูไม่จืดเลยแม้แต่น้อย
ดูจากปฏิสัมพันธ์ของคนเหล่านั้นแล้ว เหมือนว่าพวกเขาเป็นคนสนิทชิดเชื้อกันอย่างใดอย่างนั้น
แต่นอกจากสี่คนนี้แล้ว บุรุษชุดดำก่อนหน้านี้ผู้นั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
สายตาของผู้อาวุโสอูเผิงกวาดมองภาพฉากทุกอย่างตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ในใจพลันรู้สึกหนักอึ้ง
ดูสภาพที่เต็มไปด้วยความเละเทะไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าการต่อสู้คราเมื่อครู่ที่เกิดขึ้นที่นี่รุนแรงสาหัสเพียงใด
ทว่าพวกหรงซิวกลับยืนตระหง่านอยู่ที่นี่ในสภาพดีพร้อม มีเพียงบุรุษชุดดำผู้นั้นต่างหากเล่าที่หายตัวไป…
“เหมือนว่าบุรุษชุดดำผู้นั้นจะแพ้พ่ายเสียแล้ว…”
ผู้อาวุโสอูเผิงกดเสียงต่ำ
“เป็นไปได้อย่างใดกัน!?”
หนานอวี่สิงเอ่ยโต้โดยไม่รู้ตัว
“เขาแข็งแกร่งปานนั้น ต่อให้พวกหรงซิวร่วมมือกันก็มิอาจเอาชนะเขาได้!”
กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ผิดนัก
กระทั่งตัวผู้อาวุโสอูเผิงที่เป็นคนพูดออกมาเองยังคิดว่าข้อสันนิษฐานนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี
แต่นอกจากคำตอบนี้แล้ว ยังมีคำอธิบายอื่นอีกหรือ?
“… เช่นนั้นหรือว่าเป็นบุรุษชุดดำที่เกิดใจอ่อนขึ้นมากะทันหัน จึงปล่อยพวกเขาไป?”
หนานอวี่สิงสำลักออกมาคราหนึ่ง
คนที่เหลือล้วนมิมีผู้ใดเอ่ยปาก
พวกเขาเองก็ล้วนเห็นชัดเจนว่าท่าทีของบุรุษชุดดำก่อนหน้านี้ไม่มีทางญาติดีกับพวกหรงซิวได้
เช่นนั้นตอนนี้…
“เมื่อครู่ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง…”
ผู้อาวุโสอูเผิงกำหมัดแน่น
ระหว่างที่เดินทางมา พวกเขาได้เห็นจากที่ไกลๆ แล้วว่าสีแดงฉานที่กระจายทั่วผืนฟ้าสลายหายไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งลำแสงสีชาดนั้นยังร่วงหล่นลงไป ก่อเกิดเป็นเสียงการเคลื่อนไหวที่ไม่เบานัก
ตอนนั้นเขายังนึกว่าตัวเองคิดมากไป ไฉนเลย…
ผู้อาวุโสไป๋ถงโพล่งออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ข้าว่าพวกหรงซิวดูออกจะแปลกประหลาดไม่น้อย มิเช่นนั้นพวกเรารีบออกไปก่อน คราวหลังค่อย…”
“บังเอิญจริงๆ ท่านทั้งหลาย พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
ผู้อาวุโสไป๋ถงยังมิทันกล่าวจบ เสียงหัวเราะร่าของฉู่หลิวเยว่ก็ดังแว่วมาทักทายพวกเขาเสียก่อน
“ข้าจำได้ว่าพวกท่านทั้งหลายจากไปแล้วมิใช่หรือ หรือว่ากลับมาหาสิ่งใดกัน? เหตุใดถึงได้… วกกลับกลางทางกันเช่นนี้? หรือเป็นเพราะอยากแวะกลับมาดูว่าพวกข้าสู้รบปรบมือกันเป็นอย่างใดบ้างแล้ว?”
พูดไปพลาง ฉู่หลิวเยว่ก็แบมือออกอย่างจนปัญญา
“น่าเสียดายจริงเชียว เหมือนว่าจะทำให้พวกท่านผิดหวังเสียแล้ว”