ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1676 จับชีพจร
ตอนที่ 1676 จับชีพจร
……….
ประโยคนี้ของนางยืนยันซ้ำถึงข้อคาดเดาในใจของพวกผู้อาวุโสอูเผิงอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขามองหน้ากันไปมาด้วยไม่รู้ว่าควรทำอย่างใดดี สีหน้าเองก็นับว่าย่ำแย่นัก
แม้นการกลับมาคราวนี้ของพวกเขาจะเป็นเพราะเรื่องอื่น หากแต่ยามมองเห็นพวกหรงซิวยืนอยู่ได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ในใจเองพลันรู้สึกไม่สบอารมณ์เช่นกัน
นอกเหนือจากความตกใจแล้ว ในใจของพวกเขาเปี่ยมด้วยความฉงนยิ่งกว่า
บุรุษชุดดำผู้นั้นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์เทียวหนา!
การจัดการกับพวกเขาก็เหมือนกับปอกกล้วยเข้าปากมิใช่หรือ?
ระหว่างนั้นมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น สถานการณ์ถึงได้เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้ได้?
ไม่เข้าใจ
พวกเขาไม่เข้าใจกันจริงๆ!
“เจ้า…”
ยามหนานอีอีเห็นหน้าฉู่หลิวเยว่ก็ไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว บัดนี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้ใจจึงทวีความกราดเกรี้ยวขึ้นไปอีก
หากแต่ยังมิทันได้พูดอันใด ก็ถูกผู้อาวุโสอูเผิงขัดไว้เสียก่อน
“พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกข้ามิได้ยุ่งเกี่ยวใส่ใจเรื่องของพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อย ที่กลับมาที่นี่อีกคราก็เป็นเพราะมีเรื่องอื่นต้องจัดการเท่านั้น”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ กวาดตามองโดยรอบคราหนึ่ง
“อ้อ? หรือว่าของที่พวกท่านต้องการจะอยู่ที่นี่กัน?”
สิ้นเสียงคำพูด สีหน้าของผู้คนฝั่งตรงข้ามพลันเปลี่ยนพร้อมกัน
นี่ทำให้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
เดิมทีนางเพียงอยากหยอกเย้า จึงเอ่ยส่งเดชไปประโยคหนึ่งเท่านั้น ใครจะรู้เล่า… ว่าที่พูดไปเหมือนจะเป็นเรื่องจริง?
ครานี้ นางจึงหัวเราะออกมาด้วยกลั้นไม่อยู่โดยแท้จริง
“เหมือนว่าข้าจะพูดจี้จุดเข้าจริงๆ แล้วกระมัง?”
“เรื่องของพวกเรา หาได้มีความเกี่ยวข้องกับพวกเจ้า”
บุรุษชุดดำสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องนี้ทำให้ผู้อาวุโสอูเผิงลอบบังเกิดความหวาดหวั่นต่อหรงซิวและฉู่หลิวเยว่
ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเขายังมีไพ่ตายลับซ่อนอยู่ในมือ
เวลาเช่นนี้ ไม่ไปยั่วยุพวกเขาถือเป็นการดีที่สุด
และด้วยเหตุนี้เอง คำพูดของเขาจึงสุภาพมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอยู่หลายส่วน
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว
เดิมทีนางไม่สนใจเรื่องของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ทว่าเห็นพวกเขากระวนกระวายใจกันเช่นนี้ ในใจนางกลับบังเกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาเสียได้
คนพวกนี้มีภูมิหลังไม่ธรรมดา วิสัยทัศน์ยังกว้างไกล
ของที่ทำให้พวกเขาสนใจกันมากถึงเพียงนี้… คงจะเป็นสมบัติอันเลอค่าหาเปรียบมิได้จริงๆ แล้วกระมัง?
หากแต่สงสัยก็ส่วนสงสัย
ตอนนี้นางมิมีความคิดจะไปใส่ใจเรื่องของพวกเขา
หาองค์ไท่จู่ให้พบต่างหากที่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้
ดังนั้น ฉู่หลิวเยว่จึงมิได้ก่อกวนพวกเขาอีก
มุมปากของนางบิดคลี่น้อยๆ
“จะเป็นการดีที่สุดหากน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง พวกข้ามิได้มีจิตคิดใส่ใจเรื่องของพวกท่าน หวังว่าพวกท่านจะถนอมรักษาตัวให้ดี”
พูดจบ พวกเขาพลันหันกายขวับ เตรียมตัวจากไปในทันที
ฝั่งผู้อาวุโสอูเผิงเดิมยังคงไม่ปักใจเชื่อ หากแต่เห็นพวกเขาจะจากไปทั้งแบบนี้จริงๆ ก็บังเกิดความสนเท่ห์อยู่หลายส่วน
หนานอวี่สิงลอบกำหมัดแน่นพลางมองไล่หลังคนเหล่านั้นไป แววตาทอจิตสังหารอันเข้มข้นออกมา
น่าเสียดายก็แต่ว่าตอนนี้พวกเขาล้วนบาดเจ็บ ส่วนพละกำลังของพวกหรงซิวก็มิอาจประเมินได้
มิเช่นนั้นแล้ว… จะจัดการฝังพวกมันเอาไว้ที่นี่ไปตลอดกาลเสีย!
เรื่องราวครั้งนี้ เขาจะไม่ปล่อยให้มันแล้วไปแบบนี้แน่!
รอให้ออกไปจากสุสานสังหารเทพแล้วกลับไปเสียก่อน เขาย่อมต้อง…
“จริงสิ”
ฝีเท้าของหรงซิวหยุดชะงัก พลันเบี่ยงกายหันมามองแวบหนึ่ง
สายตาลึกล้ำใสกระจ่างของเขาหยุดอยู่ที่หนานอวี่สิง
ความคิดของหนานอวี่สิงพลันหยุดชะงัก รู้สึกราวกับทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยไอเย็นเยียบจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“เจ้า เจ้าคิดจะทำอันใด!?”
เขาทำใจดีสู้เสือแล้วเอ่ยปากไป
ริมฝีปากบางหรงซิวหยักขึ้นน้อยๆ
“กลับไปแล้วอย่าลืมฝากทักทายหนานอีฝานแทนข้าด้วย”
พูดจบ เขาก็หันกลับไปสาวเท้าก้าวเดินยังเบื้องหน้าต่อ
พวกผู้อาวุโสอูเผิงที่เหลือต่างก็นิ่งอึ้งจนยืนค้างอยู่กับที่ ตกอยู่ในภวังค์เงียบงันอยู่เนิ่นนาน
จนกระทั่งเงาร่างของพวกหรงซิวค่อยๆ จากไปไกล ผู้อาวุโสไป๋ถงถึงได้เอ่ยปากพูดเสียงต่ำทำลายความเงียบ
“… หรือว่าหรงซิวผู้นั้นจะรู้จักมักจี่กับท่านประมุขจริงๆ ?”
นี่ยังมิใช่เรื่องสำคัญที่สุด
ที่สำคัญที่สุดคือน้ำเสียงยามที่หรงซิวพูดถึงท่านประมุขช่างเป็นกันเองเกินไปโดยแท้
ราวกับว่า… มิได้มองเห็นท่านประมุขอยู่ในสายตาเท่าไรนักจริงๆ
ดูจากท่าทีแล้วก็ไม่เหมือนว่าแสร้งทำด้วย
มาถึงบัดนี้แล้วยังจะแสร้งพูดประโยคนี้อีก จะมีความหมายอันใด?
เว้นเสียแต่ว่า… เขาจะไม่คิดเกรงกลัวเลยจริงๆ ถึงได้กล้าเอ่ยถึงท่านประมุขกันซึ่งหน้าแบบนี้!
เดิมหนานอวี่สิงคิดอยากจะปฏิเสธ หากแต่เขาก็มิใช่คนโง่เง่าไร้สมอง
แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าที่หรงซิวกล้าทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลแอบแฝง!
แต่เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงมาก่อนเลย…
“… ช่างเถอะ! เรื่องพวกนี้รอกลับไปก่อนค่อยพูดกัน! พวกเรายังต้องไปหาของให้เจอแล้วออกจากที่นี่ก่อน!”
หนานอวี่สิงเอ่ยปากตัดรำคาญ หากแต่คำพูดก่อนจากไปของหรงซิวกลับดังก้องอยู่ข้างหูเขาไม่หยุด ทำให้ในใจของเขาบังเกิดความรู้สึกกระวนกระวายอยู่รางๆ
…
หลังเดินออกห่างมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ฉู่หนิงก็หันกลับไปมองรอบหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นมาว่า
“เยว่เออร์ คนพวกนั้นเป็นใครกันหรือ?”
ดูไปแล้วเหมือนจะมีท่าทีปฏิปักษ์ต่อหรงซิวและฉู่หลิวเยว่ไม่น้อยทีเดียว…
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยแกมหัวเราะ
“เป็นเพียงพวกคนไม่มีแก่นสารใดๆ ท่านมิต้องไปสนใจ”
ฉู่หนิงมองดูสีหน้าสบายอารมณ์ราวกับมิได้นำคนพวกนั้นมาใส่ใจของนาง ก็พลันพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เขาตบเบาๆ ลงบนมือของฉู่หลิวเยว่
“เช่นนั้นก็ดี…”
ฝ่ามือของเขากว้างแลหนานัก กลางฝ่ามือประดับด้วยหนังด้านจึงให้ความรู้สึกสากไม่น้อย หากแต่กลับชวนอบอุ่นเป็นพิเศษ
ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่พลันตื่นตระหนก ก่อนจะก้มศีรษะมองแวบหนึ่ง
“ท่านพ่อ?”
ฉู่หนิงขานรับอย่างงุนงง “หืม?”
ฉู่หลิวเยว่คว้ามือของเขาขึ้นมาดูพลางพลิกไปพลิกมาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ถามอย่างประหลาดใจว่า
“ก่อนหน้านี้มิใช่ว่ามือของท่านมีบาดแผลอยู่หรอกหรือ? เหตุใดตอนนี้ถึงได้… หายหมดแล้วเล่า?”
นางจำได้อย่างแม่นยำว่าบาดแผลพวกนั้นมีทั้งเก่าและใหม่ ทั้งยังมีบาดแผลสองรอยที่สาหัสเป็นพิเศษด้วย
ต่อให้รับยาแลรักษาอย่างดี แต่ด้วยร่างกายของท่านพ่อแล้วยังต้องใช้เวลาร่วมเดือนจึงจะฟื้นฟูเต็มที่
ทว่านี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่เท่าไร เหตุใด… บาดแผลพวกนั้นถึงได้จางหายไปหมดแล้ว?
ฉู่หนิงได้ยินนางถามเช่นนี้ สีหน้าพลันลังเลขึ้นมา
แท้จริงแล้วเขาเองก็รู้ว่าเยว่เออร์เป็นคนละเอียดถี่ถ้วนมาโดยตลอด เรื่องนี้เองย่อมปิดนางไว้ไม่ได้นาน
เพียงแต่… เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอันใดออกไปจริงๆ
“ท่านพ่อ?”
ฉู่หลิวเยว่เห็นปฏิกิริยาของเขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันในใจพลันบังเกิดความกังวล
เรื่องนี้จะผิดปกติเกินไปแล้วจริงๆ
หรือว่าบนร่างของท่านพ่อ…
ฉู่หนิงเห็นว่านางกังวลใจ จึงรีบเอ่ยว่า
“เยว่เออร์อย่ากังวลใจไป ความจริง… ความจริงสถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดมาหลายครั้งแล้ว… ข้าเองก็ชินกับมันไปแล้ว…”
“หลายครั้งแล้วหรือ?”
ได้ยินเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งทวีความตื่นตกใจมากขึ้นไปอีก
“ใช่แล้ว… คือว่า… ทุกครั้งหลังได้รับบาดเจ็บ เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง บาดแผลพวกนี้ก็จะฟื้นฟูด้วยตัวเอง ข้าเอง… ข้าเองก็ไม่รู้ว่านี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น…”
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง จากนั้นก็ต้องตกใจหลังพบว่าไม่เพียงแค่ที่มือ หากแต่บาดแผลที่อื่นบนร่างกายของเขาดูเหมือนจะฟื้นฟูเรียบร้อยหมดแล้วเช่นกัน!”
นี่มัน…
หรงซิวพลันกล่าวขึ้นมา
“ใต้เท้าฉู่หนิง มิทราบว่าให้ข้าช่วยจับชีพจรของท่านได้หรือไม่?”