ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1677 บิดาผู้แหกกฎฟ้า
ฉู่หนิงกับฉู่หลิวเยว่สบตากันแวบหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่ปล่อยมือของเขาลง ก่อนจะถามว่า
”เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น?”
หรงซิวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
“ยังมิอาจยืนยันได้”
ระหว่างที่พูด ฉู่หนิงก็ยื่นมือไปหาเขาแล้ว
หรงซิววางนิ้วมือของตนทาบลงไปบนข้อมือของเขา
ทั้วทั้งสี่ทิศพลันเงียบสงัดไร้เสียง
หรงซิวถ่ายทอดลมปราณสายหนึ่งเข้าสู่ภายในร่างของฉู่หนิง
ลมปราณสายนี้ราวกับหินที่ถูกโยนลงบ่อน้ำลึก ไม่ช้าก็ซึมหายเข้าไปในร่างของฉู่หนิงอย่างไร้ร่องรอย
หว่างคิ้วของหรงซิวกระตุกกึก เขาเหลือบตาขึ้นมองฉู่หนิงแวบหนึ่ง
“ใต้เท้าฉู่หนิง ตอนนี้ระดับจอมยุทธ์ของท่านคือ…”
สีหน้าของฉู่หนิงอึมครึมลงโดยพลัน
“ก่อนหน้านี้ระยะหนึ่ง ข้าได้รับบาดเจ็บหนัก หยวนตันเกือบถูกทำลาย ระดับจอมยุทธ์เองจึงร่วงลงไปที่ระดับหนึ่ง… บัดนี้ก็มิต่างอันใดจากเศษสวะไร้ค่า”
หลังจากถูกพาตัวออกมาจากแคว้นเย่าเฉิน เขาก็ได้พบเจอกับผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็รู้ว่าพลังอันน้อยนิดของตัวเองแท้จริงแล้วเทียบกับคนข้างนอกไม่ได้เลย
อีกทั้งในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งอีก…
เขาพูดออกมาเองด้วยความรู้สึกอับอายเต็มกลืนนัก
บัดนี้เยว่เออร์เติบโตมาเก่งกาจปานนี้ มองกลับกันเขากลับ…
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ร่วงลงไปอยู่ระดับหนึ่ง…
ก่อนหน้านี้ท่านพ่อต้องเผชิญกับสถานการณ์อันตรายถึงขีดสุดอย่างแน่นอน
หรือว่าครานั้นเกิดเรื่องอันใดบางอย่างขึ้น จึงทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนมาอยู่ในสภาพเช่นนี้?
สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ไวปานนี้ ดูอย่างใด… ก็ไม่เหมือนจอมยุทธ์ระดับหนึ่งธรรมดาเลยหนา…
หรงซิวปล่อยมือเขา หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามว่า
“ตอนนี้ท่านสามารถอัญเชิญอาณาเขตเซียนเทพออกมาได้หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างน้อยๆ อย่างตื่นตะลึง
เหตุใดจู่ๆ หรงซิวถึงได้ถามออกมาเช่นนี้?
ท่านพ่อกลับไปเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งแล้ว จะไปมีอาณาเขตเซียนเทพได้อย่างใดกัน?
ทว่าฉู่หนิงกลับมิได้ปฏิเสธไปทันที กลับกันเขาขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนักว่า
“… เหมือนกับ… สิ่งที่เยว่เออร์เรียกออกมาก่อนหน้านี้น่ะหรือ?”
หรงซิวพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”
หลังเงียบไปพักหนึ่ง ฉู่หนิงก็ผงกศีรษะรับ
“… เหมือนว่า… จะเคยเรียกออกมาสองครั้ง แต่ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่ามันคืออันใด ไม่นานมันก็สูญสลายหายไป”
เขาเอ่ยไปพลางเงื้อมือขึ้นอย่างลังเล
ประกายแสงสีน้ำเงินดุจผืนฟ้าพลันค่อยๆ ทะยานออกมา!
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันกระตุกกึก!
… นี่กลับเป็นอาณาเขตเซียนเทพจริงๆ!
แม้นางจะเคยเห็นเรื่องราวเหตุการณ์ใหญ่โตมาไม่น้อย บัดนี้เมื่อได้เห็นภาพฉากนี้ก็ตื่นตะลึงจนตัวแข็งอยู่กับที่ มิอาจเรียกสติกลับคืนมาได้อยู่พักใหญ่
เห็นได้ชัดเลยว่าเมื่อครู่นี้ ท่านพ่อยังคงตกอยู่ในบรรยากาศเศร้าสร้อยที่ตนร่วงลงกลับไปเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่ง ชั่วพริบตาเขาก็อัญเชิญเรียกเอาอาณาเขตเซียนเทพออกมาแล้ว…
ความแตกต่างชั่วพริบตาเช่นนี้ ใครกันจะรับไหวได้?
ฉู่หลิวเยว่รีบหลับตาปี๋ ยามลืมตามามองอีกครา อาณาเขตเซียนเทพก็ยังคลอเคลียอยู่ข้างกายของฉู่หนิงไม่เปลี่ยนแปลง หาได้สูญสลายไปไม่
ลำคอของนางตีบตัน กว่าจะเปิดปากพูดได้ก็ยากลำบากนัก
“นี่… นี่คือ… อาณาเขตเซียนเทพของท่านหรือท่านพ่อ?”
เสียงของฉู่หลิวเยว่แทบขาดห้วงยามเอ่ยปากพูดออกมา
ฉู่หนิงผงกศีรษะรับ
“เมื่อก่อนพ่อเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออันใด ยามที่เห็นเจ้ากับคนผู้นั้นประมือกันในวันนี้ถึงเพิ่งได้รู้ว่ามันคืออาณาเขตเซียนเทพ…”
ฉู่หนิงไม่รู้อันใดเลยเกี่ยวกับสิ่งนี้จริงๆ
เมื่อก่อนยามที่พลังของเขาแตะถึงขีดสูงสุดก็เป็นถึงจอมยุทธ์ระดับห้าของแคว้นเย่าเฉิน
อีกทั้งด้วยพลังเช่นนี้ย่อมนับว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉินอย่างมิต้องสงสัย
ทว่าอาณาเขตเซียนเทพเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ระดับเก้าต้องบุกทะลวงบรรลุสู่จอมยุทธ์ระดับเทพอย่างราบรื่นจึงจะใช้ได้
เขาจะไปมีโอกาสรู้ถึงเรื่องพวกนี้ได้อย่างใดกัน?
อย่างมากที่สุดก็คือเห็นคำนี้ผ่านตาสองสามรอบจากบันทึกประวัติของแคว้นเพียงเท่านั้น
อีกทั้งสำหรับเขาแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ไกลตัวยิ่ง จะอย่างใดเขาก็คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งตนจะสามารถใช้อาณาเขตเซียนเทพได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขั้นพลังปราณปัจจุบันของเขายังเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งเท่านั้น!
หากมิใช่เพราะวันนี้ได้เห็นด้วยตาเนื้อ เขาย่อมไม่มีทางนึกถึงตัวเองอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นท่าทีมึนงงของฉู่หนิง ฉู่หลิวเยว่ก็อับจนคำพูด
นางพลันรู้สึกว่าต่อหน้าบิดาตน ตัวเองช่างดูไม่ได้เสียจริง
สามารถต่อสู้โดยมิสนระดับนับเป็นอันใดได้?
แล้วได้ทำพันธะกับอสูรศักดิ์สิทธิ์เล่านับเป็นอันใดได้?
ท่านพ่อกลายเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่ง แต่กลับมีอาณาเขตเซียนเทพในครอบครอง!
นี่มันเรื่องตลกแบบใดกัน?
ฉู่หลิวเยว่มิเข้าใจเลยจริงๆ
ก่อนหน้านี้มีแต่ผู้อื่นเรียกนางว่าเป็นคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
มาบัดนี้นางรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับบิดาแล้ว นางไม่ใกล้เคียงกับคำชมนั้นเลยแม้แต่น้อย
…
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่แปลกประหลาดออกไปของคนทั้งหลาย ตัวฉู่หนิงเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาบ้างแล้ว
“นี่มัน… จริงๆ แล้ว… ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ หลังได้รับบาดเจ็บจากครานั้น ตื่นมาอีกทีก็กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว…”
ตอนนั้นด้วยเพราะพลังของเขาร่วงลงสู่จุดต่ำสุดแลจมกับความเศร้าอยู่นาน จึงมิได้ครุ่นคิดเลยว่าของสิ่งนั้นคืออันใด
“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย”
ทว่าดวงหน้าของหรงซิวกลับเผยสีหน้าโล่งใจออกมา ริมฝีปากบางยกขึ้นน้อยๆ
“ต้องขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าฉู่หนิงด้วยที่ได้รับโชคดีเช่นนี้”
“โชคดี?” ฉู่หลิวเยว่และฉู่หนิงเปิดปากทวนคำพร้อมกัน
หรงซิวพยักหน้า
“หากเดามิผิดละก็ ใต้เท้าฉู่หนิงคงจะกลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะโดยบังเอิญ”
ฉู่หลิวเยว่พลันเผยสีหน้าตื่นตกใจ
ร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะ
เรื่องนี้นางเคยได้ยินมาก่อน
ตอนอยู่ในสำนักหลิงเซียวเมื่อหลายปีก่อน หลังนางบุกทะลวงเป็นจอมยุทธ์ระดับเทพได้แล้ว ก็เฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอยู่ตลอด
ทว่าเรื่องนี้ซับซ้อนนัก มีผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงจำนวนมากที่แม้จะก้าวข้ามผ่านเส้นกั้นของระดับเทพไปได้ ก็ยังไร้ซึ่งหนทางจะหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ของตนเองขึ้นมา
ในตอนนั้นนางมิรู้เลยว่าร่างศักดิ์สิทธิ์แบบใดที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด ก็ดันไปเจอหอสมุดของสำนักหลิงเซียวเข้า
นางจำได้ว่าม้วนหนังสือโบราณเล่มหนึ่งได้บันทึกถึงเรื่องร่างศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้เอาไว้
เจ้าสิ่งที่เรียกว่าร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะนี้เป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งที่มีความพิเศษเป็นอย่างมาก
ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปจะมีร่างเนื้อแยกออกจากร่างศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิง
ทว่าผู้ฝึกตนที่ครอบครองร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะจะเปลี่ยนร่างกายของตนให้กลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย
หรือก็คือว่าทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ผู้ฝึกตนประเภทนี้จะมีร่างกายอยู่ร่างเดียวเท่านั้น
นี่นับว่าเป็นข้อเสียเปรียบหนึ่งเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนคนอื่นที่สามารถแยกร่างศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้
หากแต่ร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะกลับมีข้อดีที่ผู้อื่นมิอาจหาเทียบได้… ร่างศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
แค่เพียงชั่วลมหายใจเดียว ก็สามารถทำการฟื้นฟูร่างกายได้อย่างว่องไว!
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองไปยังฉู่หนิง
ก่อนหน้านี้บนร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลน่ากลัวมากมายปานนั้น มิอาจพูดได้ว่ามิสาหัส ทว่าในช่วงเวลาสั้นๆ บาดแผลเหล่านั้นกลับฟื้นฟูเรียบร้อยดีแล้ว กระทั่งรอยแผลยังยากจะมองเห็นได้!
นี่… ก็คือร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะหรือ?
“… แต่ตอนนี้ท่านพ่อเป็นแค่จอมยุทธ์ระดับหนึ่ง เหตุใดถึงได้…”
หรงซิวหัวเราะออกมา ก่อนจะอธิบายว่า
“ใต้เท้าฉู่หนิงมิได้บุกทะลวงการฝึกตนด้วยตัวเอง หากแต่โชคดีได้ร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะมาโดยไม่ได้ตั้งใจ พละกำลังแต่เดิมของเขาเข้ากันไม่ได้กับสิ่งนี้ ดังนั้นข้าเลยคิดว่า ตอนที่เขากำลังได้รับร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะ มันได้ทำการปรับพลังของเขาให้ลดลงเหลือเพียงจอมยุทธ์ระดับหนึ่งให้สะดวกแก่การเริ่มฝึกตนใหม่อีกรอบหนึ่ง”
“อีกอย่าง ระดับชีพจรดั้งเดิมของใต้เท้าฉู่หนิงเองก็ถูกเปลี่ยนเป็นชีพจรเทียนจิงแล้วด้วย”
หรงซิวพูดพลางเชิดคางขึ้น
“เจ้าลองจับชีพจรด้วยตัวเองดูก็จะรู้”
ความจริงฉู่หลิวเยว่เชื่อเรื่องที่เขาพูดอยู่แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวรุดหน้าเข้าไปจับชีพจรของฉู่หนิง
ทันใดนั้น นางก็ปล่อยมือของเขาพร้อมสีหน้าตกใจ
สายตาที่
ฉู่หนิงกับฉู่หลิวเยว่สบตากันแวบหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่ปล่อยมือของเขาลง ก่อนจะถามว่า
”เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น?”
หรงซิวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
“ยังมิอาจยืนยันได้”
ระหว่างที่พูด ฉู่หนิงก็ยื่นมือไปหาเขาแล้ว
หรงซิววางนิ้วมือของตนทาบลงไปบนข้อมือของเขา
ทั้วทั้งสี่ทิศพลันเงียบสงัดไร้เสียง
หรงซิวถ่ายทอดลมปราณสายหนึ่งเข้าสู่ภายในร่างของฉู่หนิง
ลมปราณสายนี้ราวกับหินที่ถูกโยนลงบ่อน้ำลึก ไม่ช้าก็ซึมหายเข้าไปในร่างของฉู่หนิงอย่างไร้ร่องรอย
หว่างคิ้วของหรงซิวกระตุกกึก เขาเหลือบตาขึ้นมองฉู่หนิงแวบหนึ่ง
“ใต้เท้าฉู่หนิง ตอนนี้ระดับจอมยุทธ์ของท่านคือ…”
สีหน้าของฉู่หนิงอึมครึมลงโดยพลัน
“ก่อนหน้านี้ระยะหนึ่ง ข้าได้รับบาดเจ็บหนัก หยวนตันเกือบถูกทำลาย ระดับจอมยุทธ์เองจึงร่วงลงไปที่ระดับหนึ่ง… บัดนี้ก็มิต่างอันใดจากเศษสวะไร้ค่า”
หลังจากถูกพาตัวออกมาจากแคว้นเย่าเฉิน เขาก็ได้พบเจอกับผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็รู้ว่าพลังอันน้อยนิดของตัวเองแท้จริงแล้วเทียบกับคนข้างนอกไม่ได้เลย
อีกทั้งในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งอีก…
เขาพูดออกมาเองด้วยความรู้สึกอับอายเต็มกลืนนัก
บัดนี้เยว่เออร์เติบโตมาเก่งกาจปานนี้ มองกลับกันเขากลับ…
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ร่วงลงไปอยู่ระดับหนึ่ง…
ก่อนหน้านี้ท่านพ่อต้องเผชิญกับสถานการณ์อันตรายถึงขีดสุดอย่างแน่นอน
หรือว่าครานั้นเกิดเรื่องอันใดบางอย่างขึ้น จึงทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนมาอยู่ในสภาพเช่นนี้?
สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ไวปานนี้ ดูอย่างใด… ก็ไม่เหมือนจอมยุทธ์ระดับหนึ่งธรรมดาเลยหนา…
หรงซิวปล่อยมือเขา หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามว่า
“ตอนนี้ท่านสามารถอัญเชิญอาณาเขตเซียนเทพออกมาได้หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างน้อยๆ อย่างตื่นตะลึง
เหตุใดจู่ๆ หรงซิวถึงได้ถามออกมาเช่นนี้?
ท่านพ่อกลับไปเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งแล้ว จะไปมีอาณาเขตเซียนเทพได้อย่างใดกัน?
ทว่าฉู่หนิงกลับมิได้ปฏิเสธไปทันที กลับกันเขาขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนักว่า
“… เหมือนกับ… สิ่งที่เยว่เออร์เรียกออกมาก่อนหน้านี้น่ะหรือ?”
หรงซิวพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”
หลังเงียบไปพักหนึ่ง ฉู่หนิงก็ผงกศีรษะรับ
“… เหมือนว่า… จะเคยเรียกออกมาสองครั้ง แต่ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่ามันคืออันใด ไม่นานมันก็สูญสลายหายไป”
เขาเอ่ยไปพลางเงื้อมือขึ้นอย่างลังเล
ประกายแสงสีน้ำเงินดุจผืนฟ้าพลันค่อยๆ ทะยานออกมา!
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันกระตุกกึก!
… นี่กลับเป็นอาณาเขตเซียนเทพจริงๆ!
แม้นางจะเคยเห็นเรื่องราวเหตุการณ์ใหญ่โตมาไม่น้อย บัดนี้เมื่อได้เห็นภาพฉากนี้ก็ตื่นตะลึงจนตัวแข็งอยู่กับที่ มิอาจเรียกสติกลับคืนมาได้อยู่พักใหญ่
เห็นได้ชัดเลยว่าเมื่อครู่นี้ ท่านพ่อยังคงตกอยู่ในบรรยากาศเศร้าสร้อยที่ตนร่วงลงกลับไปเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่ง ชั่วพริบตาเขาก็อัญเชิญเรียกเอาอาณาเขตเซียนเทพออกมาแล้ว…
ความแตกต่างชั่วพริบตาเช่นนี้ ใครกันจะรับไหวได้?
ฉู่หลิวเยว่รีบหลับตาปี๋ ยามลืมตามามองอีกครา อาณาเขตเซียนเทพก็ยังคลอเคลียอยู่ข้างกายของฉู่หนิงไม่เปลี่ยนแปลง หาได้สูญสลายไปไม่
ลำคอของนางตีบตัน กว่าจะเปิดปากพูดได้ก็ยากลำบากนัก
“นี่… นี่คือ… อาณาเขตเซียนเทพของท่านหรือท่านพ่อ?”
เสียงของฉู่หลิวเยว่แทบขาดห้วงยามเอ่ยปากพูดออกมา
ฉู่หนิงผงกศีรษะรับ
“เมื่อก่อนพ่อเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออันใด ยามที่เห็นเจ้ากับคนผู้นั้นประมือกันในวันนี้ถึงเพิ่งได้รู้ว่ามันคืออาณาเขตเซียนเทพ…”
ฉู่หนิงไม่รู้อันใดเลยเกี่ยวกับสิ่งนี้จริงๆ
เมื่อก่อนยามที่พลังของเขาแตะถึงขีดสูงสุดก็เป็นถึงจอมยุทธ์ระดับห้าของแคว้นเย่าเฉิน
อีกทั้งด้วยพลังเช่นนี้ย่อมนับว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉินอย่างมิต้องสงสัย
ทว่าอาณาเขตเซียนเทพเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ระดับเก้าต้องบุกทะลวงบรรลุสู่จอมยุทธ์ระดับเทพอย่างราบรื่นจึงจะใช้ได้
เขาจะไปมีโอกาสรู้ถึงเรื่องพวกนี้ได้อย่างใดกัน?
อย่างมากที่สุดก็คือเห็นคำนี้ผ่านตาสองสามรอบจากบันทึกประวัติของแคว้นเพียงเท่านั้น
อีกทั้งสำหรับเขาแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ไกลตัวยิ่ง จะอย่างใดเขาก็คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งตนจะสามารถใช้อาณาเขตเซียนเทพได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขั้นพลังปราณปัจจุบันของเขายังเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งเท่านั้น!
หากมิใช่เพราะวันนี้ได้เห็นด้วยตาเนื้อ เขาย่อมไม่มีทางนึกถึงตัวเองอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นท่าทีมึนงงของฉู่หนิง ฉู่หลิวเยว่ก็อับจนคำพูด
นางพลันรู้สึกว่าต่อหน้าบิดาตน ตัวเองช่างดูไม่ได้เสียจริง
สามารถต่อสู้โดยมิสนระดับนับเป็นอันใดได้?
แล้วได้ทำพันธะกับอสูรศักดิ์สิทธิ์เล่านับเป็นอันใดได้?
ท่านพ่อกลายเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่ง แต่กลับมีอาณาเขตเซียนเทพในครอบครอง!
นี่มันเรื่องตลกแบบใดกัน?
ฉู่หลิวเยว่มิเข้าใจเลยจริงๆ
ก่อนหน้านี้มีแต่ผู้อื่นเรียกนางว่าเป็นคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
มาบัดนี้นางรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับบิดาแล้ว นางไม่ใกล้เคียงกับคำชมนั้นเลยแม้แต่น้อย
…
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่แปลกประหลาดออกไปของคนทั้งหลาย ตัวฉู่หนิงเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาบ้างแล้ว
“นี่มัน… จริงๆ แล้ว… ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ หลังได้รับบาดเจ็บจากครานั้น ตื่นมาอีกทีก็กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว…”
ตอนนั้นด้วยเพราะพลังของเขาร่วงลงสู่จุดต่ำสุดแลจมกับความเศร้าอยู่นาน จึงมิได้ครุ่นคิดเลยว่าของสิ่งนั้นคืออันใด
“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย”
ทว่าดวงหน้าของหรงซิวกลับเผยสีหน้าโล่งใจออกมา ริมฝีปากบางยกขึ้นน้อยๆ
“ต้องขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าฉู่หนิงด้วยที่ได้รับโชคดีเช่นนี้”
“โชคดี?” ฉู่หลิวเยว่และฉู่หนิงเปิดปากทวนคำพร้อมกัน
หรงซิวพยักหน้า
“หากเดามิผิดละก็ ใต้เท้าฉู่หนิงคงจะกลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะโดยบังเอิญ”
ฉู่หลิวเยว่พลันเผยสีหน้าตื่นตกใจ
ร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะ
เรื่องนี้นางเคยได้ยินมาก่อน
ตอนอยู่ในสำนักหลิงเซียวเมื่อหลายปีก่อน หลังนางบุกทะลวงเป็นจอมยุทธ์ระดับเทพได้แล้ว ก็เฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอยู่ตลอด
ทว่าเรื่องนี้ซับซ้อนนัก มีผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงจำนวนมากที่แม้จะก้าวข้ามผ่านเส้นกั้นของระดับเทพไปได้ ก็ยังไร้ซึ่งหนทางจะหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ของตนเองขึ้นมา
ในตอนนั้นนางมิรู้เลยว่าร่างศักดิ์สิทธิ์แบบใดที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด ก็ดันไปเจอหอสมุดของสำนักหลิงเซียวเข้า
นางจำได้ว่าม้วนหนังสือโบราณเล่มหนึ่งได้บันทึกถึงเรื่องร่างศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้เอาไว้
เจ้าสิ่งที่เรียกว่าร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะนี้เป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งที่มีความพิเศษเป็นอย่างมาก
ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปจะมีร่างเนื้อแยกออกจากร่างศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิง
ทว่าผู้ฝึกตนที่ครอบครองร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะจะเปลี่ยนร่างกายของตนให้กลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย
หรือก็คือว่าทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ผู้ฝึกตนประเภทนี้จะมีร่างกายอยู่ร่างเดียวเท่านั้น
นี่นับว่าเป็นข้อเสียเปรียบหนึ่งเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนคนอื่นที่สามารถแยกร่างศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้
หากแต่ร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะกลับมีข้อดีที่ผู้อื่นมิอาจหาเทียบได้… ร่างศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
แค่เพียงชั่วลมหายใจเดียว ก็สามารถทำการฟื้นฟูร่างกายได้อย่างว่องไว!
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองไปยังฉู่หนิง
ก่อนหน้านี้บนร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลน่ากลัวมากมายปานนั้น มิอาจพูดได้ว่ามิสาหัส ทว่าในช่วงเวลาสั้นๆ บาดแผลเหล่านั้นกลับฟื้นฟูเรียบร้อยดีแล้ว กระทั่งรอยแผลยังยากจะมองเห็นได้!
นี่… ก็คือร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะหรือ?
“… แต่ตอนนี้ท่านพ่อเป็นแค่จอมยุทธ์ระดับหนึ่ง เหตุใดถึงได้…”
หรงซิวหัวเราะออกมา ก่อนจะอธิบายว่า
“ใต้เท้าฉู่หนิงมิได้บุกทะลวงการฝึกตนด้วยตัวเอง หากแต่โชคดีได้ร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะมาโดยไม่ได้ตั้งใจ พละกำลังแต่เดิมของเขาเข้ากันไม่ได้กับสิ่งนี้ ดังนั้นข้าเลยคิดว่า ตอนที่เขากำลังได้รับร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะ มันได้ทำการปรับพลังของเขาให้ลดลงเหลือเพียงจอมยุทธ์ระดับหนึ่งให้สะดวกแก่การเริ่มฝึกตนใหม่อีกรอบหนึ่ง”
“อีกอย่าง ระดับชีพจรดั้งเดิมของใต้เท้าฉู่หนิงเองก็ถูกเปลี่ยนเป็นชีพจรเทียนจิงแล้วด้วย”
หรงซิวพูดพลางเชิดคางขึ้น
“เจ้าลองจับชีพจรด้วยตัวเองดูก็จะรู้”
ความจริงฉู่หลิวเยว่เชื่อเรื่องที่เขาพูดอยู่แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวรุดหน้าเข้าไปจับชีพจรของฉู่หนิง
ทันใดนั้น นางก็ปล่อยมือของเขาพร้อมสีหน้าตกใจ
สายตาที่เบนมองฉู่หนิงอีกคราแตกต่างกับสายตาก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“… เป็น… ชีพจรเทียนจิง… จริงด้วย”
เบนมองฉู่หนิงอีกคราแตกต่างกับสายตาก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“… เป็น… ชีพจรเทียนจิง… จริงด้วย”