ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1678 ตามหา
ตอนที่ 1678 ตามหา
……….
ฉู่หนิงตื่นตะลึงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปากถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักว่า
“นี่… นี่แปลว่าข้ายังสามารถฝึกตนต่อได้อยู่อย่างนั้นหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกราวหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก
“ท่านพ่อ ท่านยิ่งกว่าฝึกตนต่อได้แล้วหนา นี่ท่านได้ฝืนฟ้าเปลี่ยนชะตาไปแล้ว!”
ต้องรู้ก่อนว่า บัดนี้กระทั่งตัวนางก็ยังมิอาจหลอมสร้างร่างศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองขึ้นมาได้!
คาดไม่ถึงเลยว่าบิดาจะชิงนำหน้านางไปก่อนแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น… ยังเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากเช่นนี้อีก!
ตอนนี้เป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งแล้วอย่างใด?
มีชีพจรเทียนจิงอยู่ ยังต้องห่วงเรื่องการฝึกตนอยู่อีกหรือ?
วิ่งหัวหมุนอยู่รอบใหญ่อยู่นาน ที่แท้นี่ก็เป็นเรื่องน่ายินดี!
ฉู่หนิงเห็นนางดีอกดีใจก็ยิ้มออกมา
“เป็นเช่นนี้แล้ว แสดงว่าคราวหลังพ่อก็สามารถช่วยเยว่เออร์ต่อได้แล้ว?”
เขากังวลใจมาโดยตลอดว่าตัวเองจะกลายเป็นภาระของเยว่เออร์ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าฟ้าจะยังเมตตาเปิดทางให้เขา!
ในใจของฉู่หลิวเยว่ทั้งรู้สึกดีใจและปลาบปลื้ม
หลังรับรู้ว่าตนมีร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะอยู่ในการครอบครอง สิ่งแรกที่บิดาคิดถึงก็ยังคงเป็นนาง
นางสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะตอบว่า
“ข้าเพียงต้องการให้ท่านพ่อได้อยู่ดีมีสุข เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ”
ช่วงเวลาที่เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย นางทรมานจนใจแทบขาดอยู่รอมร่อ
นางกังวลอยู่ทั้งวันทั้งคืน ครุ่นคิดอยู่แต่ว่าทำอย่างใดจึงจะช่วยคนกลับมาได้อย่างเร็วที่สุด
แค่คิดว่าเขาต้องผจญกับความทรมานแบบใดบ้าง นางก็รู้สึกวิตกกังวลอย่างมิมีผู้ใดเทียบแล้ว
ฉู่หนิงลูบศีรษะนางอย่างรักใคร่
“เยว่เออร์ เด็กโง่เอ๊ย”
บัดนี้นางเก่งกาจขึ้นมาขนาดนี้แล้ว เขารอคอยที่จะได้อยู่เคียงข้างนาง หากกลายเป็นได้แค่ภาระของนาง มันก็คงดีกว่าหากปัญหานี้ไม่มีอยู่
ตอนนี้เขาก็สามารถปล่อยวางความกังวลนี้ได้ในที่สุด
หลังจากยืนยันเรื่องนี้ได้แล้ว บรรยากาศโดยรอบพลันผ่อนคลายลงทันตาเห็น
บนดวงหน้าของฉู่หนิงเองก็ประดับรอยยิ้มอย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน
คนทั้งหลายพากันสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า ระหว่างที่เดินไปพลาง ฉู่หลิวเยว่ก็ถามคำถามที่เกี่ยวข้องไปพลางด้วย
นางอยากรู้มากจริงๆ ว่าบิดาประสบเหตุการณ์แบบใดมากันแน่ถึงได้พบกับโชคดีเช่นนี้
น่าเสียดายที่ตัวฉู่หนิงเองก็จำได้ไม่แน่ชัดนัก
ระหว่างที่ถูกกักขังเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เขาเร่ร่อนไปมาหลายต่อหลายที่นัก แต่กลับมิรู้ว่าตนไปที่ใดมาบ้าง
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังทนทรมานกับความเจ็บปวดมาไม่น้อย หลายต่อหลายครั้งที่หมดสติไป จึงมีเรื่องราวมากมายที่จำได้ไม่ชัดเจนนัก
แม้จะเคยตกอยู่ระหว่างความเป็นความตายมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็มิได้ใส่ใจ
ในหัวของเขามีเพียงความคิดเดียวคือต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพบเยว่เออร์
อีกอย่างยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาเองไม่ค่อยเข้าใจนัก ต่อให้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา เขาเองก็ไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย
อย่างเช่นชีพจรของเขา หรือจะเป็นอาณาเขตเซียนเทพของเขาเอง
พูดมาจนถึงท้ายที่สุด ฉู่หลิวเยว่ก็พอเดาออกได้รางๆ ว่าร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะของบิดาน่าจะได้มาตอนที่อยู่ในสุสานสังหารเทพโดยมิได้ตั้งใจ
แล้วก็… ยังมีคราก่อนที่คนของจวินจิ่วชิงทำพลาดมหันต์ ขาดการติดต่อกับบิดาในครานั้น
ฉู่หลิวเยว่ทำได้แค่ทอดถอนใจ ความจริงช่างคาดเดาได้ยากอย่างที่คิดไว้
ตอนนั้นนางเคยคิดบ้างหรือไม่หนอว่าบิดาจะได้ไปประสบผจญภัยเช่นนี้?
“ร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะร่างนี้เป็นไปได้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เคยสิ้นชีพอยู่ในสุสานสังหารเทพ”
หรงซิวกล่าว
ฉู่หลิวเยว่คิดไปคิดมา รู้สึกว่านี่ดูเป็นข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุด
เพียงแต่…
“มิใช่ว่าสงครามปีนั้น ผู้แข็งแกร่งทั้งมวลล้วนดวงจิตดับสูญ กระทั่งของครึ่งชิ้นก็มิได้ทิ้งไว้หรอกหรือ?”
คิ้วของหรงซิวเลิกขึ้นน้อยๆ
“อย่างใดเสียพวกนั้นก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น สรุปแล้วเรื่องราวเป็นอย่างใด นอกจากคนในปีนั้นแล้วก็คงมิมีผู้ใดล่วงรู้ได้อีก”
ฉู่หลิวเยว่คิดตามก็รู้สึกเห็นด้วย
คราก่อนตอนอยู่ในบุพกาลชายแดนเหนือ ก็เคยมีผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนล้มหายตายจาก
เพื่อที่จะได้รับสืบทอดโชควาสนาดีที่ว่า คนรุ่นหลังต่างพากันดาหน้าเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า
หากมิมีเหตุผลนี้ สุสานสังหารเทพก็คงไม่เหลืออันใดไว้แล้วจริงๆ
มิต้องพูดถึงคนอื่น ลำพังแค่นางก็ได้รับหินก้อนใหญ่มาก้อนหนึ่งมิใช่หรือ?
… แน่นอนว่าเป็นก้อนหินที่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว
ส่วนบิดาได้ครอบครองกระทั่งร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะ…
หากบอกว่าที่นี่เป็นแดนรกร้าง ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ไม่มีทางเชื่อเข้าโดยเด็ดขาดแล้วจริงๆ
“บางที… อาจมีคนมิต้องการให้ผู้อื่นมาฉกฉวยสมบัติที่อยู่ด้านใน จึงทำการปล่อยข่าวพวกนี้ออกมาแทน?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเดา
“คราวก่อนมิใช่ว่าคนพวกนั้นพูดว่ามาหาของบางอย่างที่นี่หรอกหรือ?”
นอกจากจะมาหาสมบัติแล้ว จะยังทำสิ่งใดได้อีกเล่า?
หรงซิวมองนางอย่างชื่นชมแวบหนึ่ง
เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ นางก็เข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบาย
“สุสานสังหารเทพอันตรายอย่างมาก ไอปีศาจเองก็มิได้รับการปัดเป่ามาเป็นเวลานาน ผู้ที่เข้ามาส่วนใหญ่แล้วมิได้กลับออกไป ต่อให้ยังมีผู้ที่รู้ว่าภายในนี้มีสมบัติอยู่ก็คงมิกล้าลงมือบุ่มบ่ามตามใจ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็ย่อมมิเข้ามาอยู่แล้ว ดังนั้นที่นี่จึงเงียบเหงารกร้างเช่นนี้”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
แม้สมบัติจะเลิศเลอ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยชีวิต
เพียงแต่ ต่อให้ตนมิได้สมบัติมาไว้ในครองในเวลาอันสั้น ปล่อยข่าวออกไปก็เป็นการลดความสนใจและความสงสัยใคร่รู้ของผู้คนต่อที่นี่ นับว่าเป็นแผนการที่ไม่เลวนักเทียว
คนพวกนี้นี่ช่าง…
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“ข้ากลับรู้สึกว่าที่แห่งนี้…”
นางลังเลอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็มิได้เอ่ยคำพูดที่เหลือต่อจนจบ แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาแทน
“รอหาตัวองค์ไท่จู่เจอก่อน พวกเราค่อยออกไปจากที่นี่กัน”
เดิมทีที่พวกเขามาที่นี่ก็เพียงเพื่อช่วยท่านพ่อกลับไปเท่านั้น
รอจนจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้น สามารถออกไปได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนถือเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
ฉู่หนิงชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า
“เยว่เออร์ องค์ไท่จู่ท่านนี้… มิทราบว่า…”
ฉู่หลิวเยว่พลันหัวเราะออกมา
ตลอดทางมานี้นางเอาแต่ถามบิดา ส่วนเรื่องของนางเองแทบไม่มีเวลาได้เล่าให้บิดาฟังเลยด้วยซ้ำ
“ข้าจะค่อยๆ ทยอยเล่าให้ท่านฟังก็แล้วกัน…”
…
ฟากนี้ ฉู่หลิวเยว่กำลังเล่าเรื่องราวของตัวเองและสิ่งที่ประสบพบเจอมาเล่าให้ฉู่หนิงฟังไม่หวาดไม่ไหว
อีกฟากหนึ่ง อารมณ์ของพวกหนานอวี่สิงกลับมิสู้ดีเท่าไรนัก
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดแลเย็นยะเยือก
หัวคิ้วของหนานอวี่สิงขมวดเข้าหากันแน่นจนเป็นปม
“ผู้อาวุโสอูเผิง คำพูดเมื่อครู่ของท่านเป็นเรื่องจริงหรือ? ที่ว่าของสิ่งนั้นมิได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว?”
ผู้อาวุโสอูเผิงมีสีหน้าเย็นชายิ่ง เขาปรายตามองหนานอีอีพลางตอบเอ่ยเสียงทุ้ม
“คุณหนูรองมีความรู้สึกไวต่อสิ่งของชิ้นนั้นอย่างมาก ท่านคิดว่าอย่างใดเล่า?”
สีหน้าของหนานอีอีดูแทบไม่ได้แม้แต่น้อย
“ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วจริงๆ น่าแปลก… ก่อนหน้านี้ข้าจับสัมผัสมันได้แล้วชัดๆ … ตอนนี้เหตุใดถึงได้หายไปแล้ว?”
ผู้อาวุโสไป๋ถงเอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ความหมายของท่านก็คือ… ของสิ่งนั้นเคลื่อนย้ายตัวเองอย่างนั้นหรือ?”