ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1679 คาดเดา
ตอนที่ 1679 คาดเดา
……….
“ไม่น่าใช่หรอกกระมัง…”
คิ้วโก่งราวใบหลิ่วของหนานอีอีเลิกขึ้น น้ำเสียงกลับแฝงด้วยความไม่มั่นใจอยู่หลายส่วน
“ท่านพ่อไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน…”
นางยังคิดอยู่เลยว่าการมารอบนี้ก็แค่หาของให้เจอแล้วนำกลับไปด้วยก็ได้แล้ว อย่างใดเสียคนที่สามารถหาร่องรอยของสิ่งนี้ได้ในใต้หล้านั้นมีน้อยจนแทบนับนิ้วได้
ใครจะไปล่วงรู้เล่าว่าจะเป็นปัญหามากขนาดนี้?
ตอนนี้พวกนางต่างทรมานสังขารกันอยู่นาน กระทั่งเงาร่างของมันก็ยังหาไม่เจอด้วยซ้ำ
“แต่อย่างใดเสียของสิ่งนี้ก็หาใช่ของธรรมดาไม่ บางทีอาจเคลื่อนย้ายที่ไปแล้วจริงๆ ก็เป็นได้”
ผู้อาวุโสอูเผิงกล่าวพลางตรึงสายตามองหนานอีอี
“คุณหนูรองพอจะตรวจสอบให้ละเอียดอีกคราหนึ่ง ดูหน่อยสิว่าจะหาเบาะแสของมันได้บ้างหรือไม่?”
เดิมเรื่องนี้ควรเป็นเขาที่ต้องลงมือทำ ทว่าก่อนหน้านี้เขาเพิ่งใช้แผ่นจานซิงหลัวไป ภายในระยะเวลาสั้นเพียงนี้ย่อมมิอาจใช้งานมันได้อีกเป็นครั้งที่สอง
ดังนั้นจึงทำได้แค่โยนความหวังไปลงที่หนานอีอีแล้ว
หนานอีอีเม้มปากแน่น
“ข้าจะลองดู”
เหตุผลที่บิดายืนกรานจะให้นางมาให้ได้ ก็เพราะนางมีพรสวรรค์อย่างที่กล่าวมาข้างต้น
มาบัดนี้ได้ใช้ประโยชน์ตามที่คาดไว้แล้วจริงๆ
เพียงแต่หลังจากที่นางใช้ประสาทสัมผัส พลังและแรงใจของนางเองจะถูกเผาผลาญไปในปริมาณมาก หลังจากนี้ระยะเวลาหนึ่งจะรู้สึกไม่สบายตัว ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยชอบทำเช่นนี้เท่าไรนัก
แต่ตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
หนานอีอีปิดเปลือกตาลง สองมือผสานกันเบื้องหน้ากลายเป็นมุทราแปลกประหลาดท่าหนึ่ง
หลังจากนั้น พลันมีลวดลายลายหนึ่งปรากฏรางๆ อยู่บนบริเวณหว่างคิ้วของนาง!
หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง นางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะยกนิ้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“อยู่ทางนั้น!”
หนานอวี่สิงพลันเผยสีหน้าพออกพอใจออกมา
“อีอีทำได้เยี่ยมจริงๆ!”
หนานอีอีได้ยินเช่นนั้น สีหน้าเองก็เผยแววพึงพอใจอย่างสะกดกลั้นไว้ไม่อยู่
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว!”
แม้นางจะหัวดื้อไปบ้าง แต่ก็ยังมีความสามารถอยู่จริง
มิเช่นนั้นแล้ว นางเองก็คงไม่สามารถเป็นที่ชื่นชอบได้หลายปีขนาดนี้
อย่างใดเสียนี่ก็ยังเป็นโลกที่ให้การยอมรับจากความสามารถนี่นะ
“ในเมื่อรู้ทิศทางแน่ชัดแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ!”
หนานอวี่สิงพูดพลางเตรียมตัวออกเดินไปข้างหน้าอย่างกระตือรือร้น
เขาอยากจะหาของที่ว่านั่นให้เจอเร็วๆ แล้วก็รีบออกไปจากที่นี่เสียที!
ทว่า ผู้อาวุโสไป๋ถงและผู้อาวุโสอูเผิงกลับมิได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
อีกทั้งสีหน้าของคนทั้งสอง ดูไปแล้วแปลกพิกลอยู่ไม่น้อย
หนานอวี่สิงขมวดคิ้วอย่างอดไม่อยู่
“ผู้อาวุโสทั้งสอง เหตุใดไม่เดินเล่า?”
คนทั้งสองสบสายตากันรอบหนึ่ง ต่างก็มองเห็นความสับสนในแววตาของอีกฝ่าย
ผู้อาวุโสไป๋ถงค่อยๆ กล่าวออกมาอย่างเนิบนาบ
“คุณชายใหญ่ หรือว่าท่านมิสังเกตเลยหรือว่ามีอันใดไม่ถูกต้อง?”
สีหน้าของหนานอวี่สิงพลันทึ่มทื่อ
ไม่ถูกต้อง?
มีอันใดไม่ถูกต้องกัน?
มิใช่ว่าอีอีจับสัมผัสได้แล้วหรือ?
นี่ก็พิสูจน์แล้วอย่างใดเล่าว่าของสิ่งนั้นอยู่ใกล้ๆ นี้!
ผู้อาวุโสอูเผิงเอ่ยเสียงเข้ม
“ที่คุณหนูรองชี้ไปเมื่อครู่… ก็คือทิศทางที่พวกหรงซิวจากไปก่อนหน้านี้”
หนานอวี่สิงพลันอ้ำอึ้ง ปฏิกิริยาแรกหลังจากนั้นคือหันไปมองหนานอีอี ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย
“อีอี?”
แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยถามอันใดออกไป แต่สายตาของเขาก็สื่อความหมายแทนทุกอย่างแล้ว
หนานอีอีพลันรู้สึกเจ็บใจ
“ท่านพี่! นี่ท่านหมายความว่าอย่างใด? ท่านสงสัยข้าหรือ? ข้าต้องผลาญลมปราณตัวเองไปมากกว่าจะจับสัมผัสปราณอ่อนๆ นั่นได้นะ!”
หนานอวี่สิงเห็นนางกราดเกรี้ยวก็ลบความเคลือบแคลงในใจทิ้งโดยพลัน
“เปล่าเลย พี่ก็แค่รู้สึกว่า… ออกจะบังเอิญไปหน่อยเท่านั้น…”
แม้น้องสาวผู้นี้ของเขาจะหัวแข็งและเย่อหยิ่งไปสักหน่อย แต่ไม่มีทางที่จะกล้าดีกับเรื่องแบบนี้ได้
หากนางมิได้จงใจ เช่นนั้นก็แปลว่า… ทิศทางที่ของสิ่งนั้นเคลื่อนย้ายไปจะเป็นทางนั้นจริงๆ?
เมื่อคิดถึงว่าเบื้องหน้าคือพวกหรงซิว หนานอวี่สิงก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมายิ่งกว่าเก่า
ไปไหนไม่ไป แต่กลับไปทางนั้นหรือ?
ผู้อาวุโสอูเผิงมิได้สงสัยข้อแก้ตัวของหนานอีอีแม้แต่น้อย หากแต่เรื่องนี้กลับทำให้เขารู้สึกตื่นตัวขึ้นมา
“คุณชายใหญ่ คุณหนูรอง พวกท่านมิรู้สึกเลยหรือว่าตั้งแต่พวกเรามาถึงที่นี่ เรื่องที่ติดสอยห้อยตามกันเป็นขบวนเช่นนี้ออกจะบังเอิญเกินไปหน่อยแล้ว? ก่อนหน้านี้ข้าใช้แผ่นจานซิงหลัวหาข้อสรุป ทิศทางที่ชี้มาก็คือที่นี่ ตอนนั้นพวกหรงซิวเองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ตอนนี้พวกเขาจากไปแล้ว คุณหนูรองก็รู้สึกได้ว่าของสิ่งนี้เองก็อยู่ทิศทางเดียวกันกับที่พวกเขาจากไป…”
“อูเผิง ความหมายของเจ้าก็คือ… ของสิ่งนั้นติดตามพวกหรงซิวไป?” นัยน์ตาของผู้อาวุโสไป๋ถงหดเล็กลง “หรือก็คือความจริงแล้วของสิ่งนั้น… อยู่ที่พวกเขา!?”
สิ้นคำพูดนี้ ทุกคนต่างจมลงสู่ความเงียบงัน
นี่เป็นผลลัพธ์ที่พวกเขาไม่ต้องการเห็นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง?”
หนานอีอีเองก็ตื่นตระหนกไม่น้อย
“จะผนึกของสิ่งนั้น เหตุใดถึงไม่มีความเคลื่อนไหวบังเกิดเลยเล่า? อีกอย่าง พวกเขาเพิ่งเข้ามาในระยะเวลาสั้นๆ จะไปทำแบบนั้นได้อย่างใด…”
ก่อนจะมาที่นี่ ด้วยเพราะบิดากังวลว่านางตัวคนเดียวจะจัดการไม่อยู่ ดังนั้นจึงให้พี่ชายและผู้อาวุโสทั้งสองร่วมทางมาด้วย
อีกทั้งบิดายังพร่ำเตือนหลายต่อหลายครั้งว่าต่อให้ระหว่างทางจะยากลำบากเพียงใด ก็ต้องอดทนไว้ให้ถึงที่สุดจนกระทั่งสามารถนำของสิ่งนั้นกลับมาได้ในสภาพสมบูรณ์
แต่…
ตอนนี้นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน?
ผู้อาวุโสอูเผิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เปิดปากพูดในที่สุด
“ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม ตอนนี้พวกเราทำได้แค่ตามพวกเขาไปก่อน หากทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด นั่นก็แล้วไป หากเป็นพวกเขาจริงๆ…”
คำพูดที่เหลือเขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก คนที่เหลือก็ล้วนรู้อยู่แก่ใจ
หากถึงเวลา ย่อมไม่พ้นการต่อสู้อันดุเดือดแล้ว
“ข้าว่าพวกเขาระแวดระวังตัวกันเป็นอย่างมาก พวกเราต้องจัดการอย่างระมัดระวัง หากไม่เข้าตาจนก็อย่าไปเผชิญหน้ากับพวกเขา”
ผู้อาวุโสไป๋ถงครุ่นคิดไปมาก่อนจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา
เมื่อเห็นสีหน้าของหนานอวี่สิงยิ่งดูไม่ได้มากกว่าเก่า เขาก็รีบเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า
“อย่างใดเสียเป้าหมายหลักในการเดินทางของเราครานี้ก็เพื่อหาของสิ่งนั้น เรื่องอื่นให้ยั้งรอไว้ก่อนชั่วคราว…”
หนานอวี่สิงกำหมัดแน่น
“ไป!”
…
ฉู่หลิวเยว่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงและเรื่องราวทุกอย่าง อีกทั้งยังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากแยกกันให้ฉู่หนิงฟัง
แม้นางจะไปพูดเนื้อหาไปเพียงคร่าวๆ แต่เมื่อฉู่หนิงได้ฟังกลับรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ไม่หาย
องค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์เทียนลิ่ง…
ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักหลิงเซียว…
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงที่อายุไม่ถึงยี่สิบ…
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกจากปากฉู่หลิวเยว่นั้นล้วนแล้วแต่เล่าออกมาด้วยท่าทีสบายๆ นัก
แต่ฉู่หนิงรู้ดีว่าเบื้องหลังคำพูดที่เรียบนิ่งเหล่านี้ล้วนแฝงด้วยคลื่นโหมกระหน่ำอันน่าหวาดหวั่นนับไม่ถ้วน
เขาเดาได้แต่แรกแล้วว่าสถานะของนางย่อมไม่ธรรมดา แต่พอได้ฟังเข้าจริงๆ ก็ยังคงตื่นตะลึงมากอยู่ดี
ส่วนสถานะที่แท้จริงของหรงซิวเองก็ทำให้ใจของเขากระวนกระวายอยู่พักใหญ่
โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์…
เป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์หาตัวจับยากที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเยว่เออร์เสียอีก…
ที่ทำให้เขาตกใจมากที่สุดก็คือหรงซิวตกหลุมรักเยว่เออร์ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว
มิน่าเขาถึงได้ดูแลเยว่เออร์ดีถึงปานนั้นตั้งแต่แรกเจอ
หลังจากฉู่หลิวเยว่กล่าวจบแล้ว ฉู่หนิงก็ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งจึงจะเรียบเรียงย่อข่าวทั้งหมดลงไปได้
“… เช่นนี้ก็แปลว่าคนที่พวกเรากำลังหาอยู่ตอนนี้ก็คือบรรพบุรุษที่แท้จริงของเจ้า?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าน้อยๆ
“องค์ไท่จู่คอยดูแลข้ามาโดยตลอด ครานี้ก็เพราะเป็นห่วงข้าเลยยืนกรานจะตามมาด้วย เพียงแต่หลังเข้ามาที่นี่ได้ไม่นาน พวกเราก็พลัดหลงกัน”
เมื่อได้ยินว่าเป็นคนที่ดีต่อเยว่เออร์ ฉู่หนิงพลันเป็นกังวลขึ้นมาในทันใด
“ที่นี่อันตรายยิ่งนัก เจ้ามีวิธีติดต่อกับเขาหรือเปล่า?”
ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวอย่างสบายใจว่า
“ท่านวางใจเถิด ก่อนหน้านี้องค์ไท่จู่เคยมาที่นี่แล้ว ไม่น่ามี…”
ตูม!
เสียงดังกัมปนาทสายหนึ่งพลันดังก้องมาจากบนผืนฟ้าที่ห่างไกลออกไป!