ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1680 กำแพงยามรัตติกาล
ตอนที่ 1680 กำแพงยามรัตติกาล
……….
สุ้มเสียงของฉู่หลิวเยว่ขาดห้วงลงฉับพลัน นางตวัดสายตาขึ้นมามองอย่างรวดเร็ว!
ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำพอดี พระอาทิตย์ยามค่ำกำลังลับขอบฟ้าฟากประจิม
รัศมีเส้นโค้งสุดท้ายค่อยๆ ซ่อนหายไปในแผ่นเมฆหนาเป็นชั้น สีส้มอุ่นตาแผ่ขยายไปทั่วผืนฟ้าราวกับเคลือบทั่วท้องนภาให้ฉาบไปด้วยทองคำ
สำหรับภายในสุสานสังหารเทพแล้ว ภาพฉากที่สว่างเรืองรองเช่นนี้ช่างหาดูได้ยากโดยแท้
ทว่าภายใต้ที่แห่งนี้ ตำแหน่งที่เชื่อมฟ้าดินเข้าด้วยกันกลับถูกอันใดบางอย่างฉาบทับเป็นเงาจางไว้ชั้นหนึ่ง
กระทั่งแสงสว่างยามตะวันตกดินยังมิอาจส่องแสงทะลุผ่านมันออกมาได้
ยามมองดูจากที่ไกลๆ แล้ว ราวกับแผ่นสีดำที่ก่อตัวอยู่นานแฝงไว้ซึ่งไอลมปราณชวนเย็นยะเยือก
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ค่อยๆ พบว่าแผ่นสีดำผืนนั้นกำลังแผ่ขยายออกอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งยังเหมือนว่าสุ้มเสียงก้องกัมปนาทเมื่อครู่เองก็ดังมาจากฟากนั้นด้วย
จะบอกว่าเป็นเสียงอัสนีบาตฟาดผ่าก็ฟังไม่ค่อยเหมือนนัก
ระยะทางห่างไกลกันปานนี้ จึงได้ยินเพียงเลือนราง ไม่ชัดเจนเท่าไร
“นั่นมัน… คือสิ่งใดกัน?”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วน้อยๆ
ลมปราณสายนี้… ให้ความรู้สึกผิดปกติอยู่ไม่น้อยจริงๆ
ฉู่หนิงตอบทันควัน
“นั่นคือกำแพง”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับตื่นตะลึง นางหันศีรษะไปมองเขา
“กำแพง?”
ฉู่หนิงผงกศีรษะ สองตาจ้องแผ่นสีดำที่อยู่ไกลออกไปเขม็งด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยเห็นกำแพงนี้อยู่สองครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม”
พูดไปพลาง ฉู่หนิงก็ยกมือขึ้นมาชี้ไปยังสองฟากของแผ่นสีดำ
“กำแพงนี่เริ่มจากด้านนี้ขยายยาวไปจนถึงอีกด้าน ในระยะเวลาครึ่งก้านธูป มันก็เข้ายึดครองเนื้อที่ทั้งหมดในเส้นแนวนอนตามระยะสายตาของพวกเราได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่มองตามทางที่นิ้วเขาชี้ พบว่าผืนแผ่นสีดำกำลังแผ่ขยายออกไปทางสองด้านด้วยความว่องไวอยู่จริงๆ
ตอนนั้นเอง นางก็มองเห็นลักษณะของกำแพงชั้นนั้นได้รางๆ แล้ว
มันเคลือบสีดำทั้งแนว ใหญ่โตน่าเกรงขาม สูงใหญ่จนมิอาจเอื้อมถึง
แม้นยังมิทันได้เข้าใกล้ นางก็รับรู้ได้ถึงลมปราณอันดุดันบนกำแพงนั่น!
นางลอบขมวดคิ้วกับตัวเอง
ลมปราณเข้มข้นเช่นนี้… ย่อมมิได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไปแน่
“ท่านพ่อ กว่ากำแพงนี้จะปรากฏขึ้นมาได้ใช้เวลานานเท่าไรในแต่ละรอบ? สองครั้งก่อนเองก็ปรากฏขึ้นปุบปับเช่นนี้เหมือนกันหรือ?”
ฉู่หนิงส่ายศีรษะ
“เวลาปรากฏตัวของมันไม่แน่นอน จนถึงตอนนี้ข้าเองก็เคยเห็นมันแค่สามครั้ง อีกทั้งก่อนหน้านี้สภาพร่างกายและจิตใจของข้าย่ำแย่ยิ่งจึงมิได้ใส่ใจมันมาก รู้เพียงว่าทุกครั้งมันจะปรากฏขึ้นยามอาทิตย์ลับฟ้า แล้วหายไปยามฟ้าสว่าง ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นตอนกลางวันมาก่อน”
เขาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนกล่าวเสริมว่า
“ตอนเห็นกำแพงนี้ครั้งแรก ข้าเพิ่งถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ตอนนั้นข้าคิดว่าหากข้ามกำแพงนั่นไปก็จะสามารถออกจากที่นี่ได้ ดังนั้นจึงพยายามมุ่งไปฟากโน้นอย่างสุดความสามารถ หากแต่ยังมิทันไปถึง ฟ้าก็สว่างแล้ว ส่วนมันก็หายวับไปทั้งแบบนั้น”
“ภายหลังข้าจึงรู้ว่า ข้าจะออกไปได้หรือไม่นั้น หาได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับมัน ข้าเองก็เลยไม่ได้สนใจมันอีก”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ
ยลเห็นภูผา วิ่งม้าจนตัวตาย
แม้ว่ามองจากตรงนี้แล้วกำแพงนั่นดูอยู่ห่างออกไปไม่มาก
แต่หากคิดจะไปใกล้มันจริงๆ เกรงว่าต้องเสียเวลาไปไม่ใช่น้อย
แต่ว่าเหตุใดจู่ๆ ที่แห่งนี้ถึงมีกำแพงโผล่ขึ้นมาได้เล่า?
สุสานสังหารเทพแห่งนี้ช่างสรรหามีสถานที่แปลกๆ มากมายโดยแท้…
ในตอนที่นางตัดสินใจจะนิ่งรอดูความเปลี่ยนแปลงของมันนั่นเอง หินก้อนหนึ่งพลันโจนออกมาจากแหวนเฉียนคุน แล้วกลิ้งหลุนๆ มาหยุดข้างเท้าฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ก้มศีรษะมอง
หินก้อนนั้นกลิ้งตัวไปทางข้างหน้า
คิ้วเรียวดำขลับของฉู่หลิวเยว่เลิกขึ้น แต่กลับมิได้ขยับเท้าแต่อย่างใด
ไม่นานนัก หินก้อนที่สองก็กระโดดออกมาชนเข้ากับข้างเท้าของฉู่หลิวเยว่เช่นกัน จากนั้นเริ่มกลิ้งหลุนๆ ไปยังเบื้องหน้า
ครานี้มันเคลื่อนที่ไปไกลกว่าหินก้อนแรกมาก ทว่าทิศทางที่พากันกลิ้งไป… ล้วนแต่มุ่งไปยังกำแพงสุดขอบฟ้าอันนั้น!
ในตอนที่หินก้อนที่สามโดดผลุงออกมา ฉู่หลิวเยว่ถึงได้เอ่ยปากขึ้นมาในท้ายที่สุด
“พวกเจ้าอยากให้ข้าไปที่นั่นหรือ?”
ก้อนหินพูดไม่ได้ แต่การกระทำเช่นนี้ของพวกมันก็ชัดเจนมากพอแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ลูบคางไปมา
นางรู้ว่าพวกมันมิมีทางทำร้ายนาง ในเมื่อเร่งเร้าอยากให้นางไปถึงเพียงนี้ ก็คงมีเหตุผลอันใดบางอย่างกระมัง
เมื่อฉู่หนิงที่อยู่ด้านข้างมองดูฉากนี้ ดวงตาก็มีแววประหลาดใจเคลื่อนผ่าน
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้เขาได้ฟังเรื่องที่มาของหินพวกนี้มาจากฉู่หลิวเยว่โดยคร่าวๆ บ้างแล้ว
อีกทั้งในการต่อสู้ตัดสินของฉู่หลิวเยว่กับบุรุษชุดดำผู้นั้น เขาก็มองออกว่าภายในหินพวกนี้บรรจุพลังอันน่าตื่นตะลึงเอาไว้
เพียงแต่ว่าพอได้มาเห็นอีกรอบ ก็อดรู้สึกประหลาดไม่ได้
“ดูเหมือนพวกมันจะอยากให้เจ้าไปจริงๆ”
มุมปากของหรงซิวยกขึ้นน้อยๆ พลางกล่าว
ฉู่หลิวเยว่แบมือพลางหัวเราะออกมาอย่างจนปัญญาไม่น้อย
“ข้าเองก็ดูออก แต่ฝั่งนั้นมันอยู่ไกลจากเรามากจริงๆ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าอย่างใดก็ไปไม่ถึง”
ในสถานที่แบบนี้แล้ว มิอาจรู้ได้เลยว่าจะพบอันตรายที่แฝงอยู่บ่อยแค่ไหน
“หากเป็นอันตรายจริงๆ ตอนพวกเราไปถึงค่อยถอยก็ไม่สาย ในเมื่อพวกเราเห็นกำแพงนั่น ผู้อาวุโสซั่งกวนเองก็ต้องเห็นมันเหมือนกัน บางที… เขาอาจไปปรากฏตัวที่นั่น รอให้พวกเราไปรวมกลุ่มกันอยู่ก็ได้”
คำพูดของหรงซิวทำให้นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่สว่างวาบ
จริงด้วย!
นางแทบลืมข้อนี้ไปเสียสนิท!
พื้นที่รกร้างที่กว้างใหญ่ไพศาล
ยามกวาดสายตามองไป ภาพฉากทั้งหมดล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น
หากไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน อยู่ที่นี่กระทั่งทิศทางก็ยากจะแยกแยะ ไฉนเลยจะหาตัวคนผู้หนึ่งเจอได้?
นั่นถือเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรอย่างมิต้องสงสัย
หากตอนนี้องค์ไท่จู่ปลอดภัยดี ก็ย่อมต้องทำแบบนี้เหมือนกัน
ฉู่หลิวเยว่ตัดสินใจโดยพลัน
“เช่นนั้นพวกเราไปดูฟากนั้นกันก่อนเถอะ”
หากไปถึงก่อนตะวันขึ้นแล้วเจอตัวองค์ไท่จู่ได้ นั่นสิถึงจะเป็นเรื่องดีที่สุด
หากว่าไปไม่ทัน…
เช่นนั้นค่อยหาทางอื่นก็สิ้นเรื่อง
ความจริงแล้วฉู่หลิวเยว่ก็มิกล้าคาดหวังอันใดในใจมากนัก
เพราะกำแพงที่อยู่สุดขอบฟ้านั่นยังคงแผ่ขยายไปทั้งสองฟากอย่างต่อเนื่อง!
ยิ่งเป็นเช่นนี้ ขอบเขตที่มันปกคลุมก็ยิ่งกว้าง โอกาสในการกลับไปรวมกลุ่มกับองค์ไท่จู่ก็ยิ่งไม่แน่นอนกว่าเก่า
แต่ต่อให้นี่เป็นเพียงความหวังเดียว ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่อยากคิดยอมแพ้
นางเก็บก้อนหินเหล่านั้นขึ้นมา ก่อนจะสาวเท้าก้าวไปยังเบื้องหน้า
…
ในขณะเดียวกันนั้น ซั่งกวนจิ้งเองก็กำลังมุ่งหน้าเดินไปยังกำแพงนั้นเช่นกัน
เขาเดินอยู่นานมากแล้ว ผลาญพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ใช่น้อย แต่ก็ทำได้เพียงย่นระยะทางลงมาเล็กน้อยเท่านั้น
เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากำแพงนั่นอยู่ตรงหน้า แต่ทำอย่างใดก็มิอาจไปถึงมันได้
โชคดีที่เขาไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก แล้วก็ไม่ใช่คราแรกที่พบเจอสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นสภาพอารมณ์จึงหนักแน่นอย่างมาก เพียงแค่เดินหน้าต่ออย่างไม่หยุดยั้งเท่านั้น!
พอลองคำนวณเวลาดู พวกเยว่เออร์เองก็คงจะเห็นกำแพงนั่นแล้วเหมือนกัน…
เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ฝั่งเดียวกับเขาหรืออยู่อีกฝั่งหนึ่งกัน?
หากอยู่ฝั่งเดียวกันก็แล้วไป แต่ถ้าอยู่อีกฝั่งแล้วละก็… คิดจะเจอกันนั้นยากยิ่งกว่าอันใดดี
ฝีเท้าของซั่งกวนจิ้งหยุดชะงัก เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หลังผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ แล้วก็เดินหน้าต่อ
…
ยามแสงสุดท้ายของวันค่อยๆ เลือนหาย
เวลาพลบค่ำก็ได้มาเยือน
ในความมืดมิดยามค่ำคืน วิสัยทัศน์ของมนุษย์จะย่ำแย่ลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วเมื่อเป็นค่ำคืนเดือนดับเช่นนี้แล้วด้วย
ทว่าที่น่าประหลาดก็คือ ฉู่หลิวเยว่กลับยังคงมองเห็นกำแพงสีดำนั่นได้อย่างชัดเจน
ด้วยนั่นหาใช่สีดำแบบเดียวกันไม่
ทั้งเข้มข้น เคร่งขรึม ดุดัน ทั้งยังสูงจนมิอาจเอื้อม
มันตั้งตระหง่านเชื่อมฟ้าดินอย่างเงียบเชียบ ราวกับดำรงอยู่มาแล้วหลายหมื่นปี