ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1682 เสียงดนตรี
ตอนที่ 1682 เสียงดนตรี
……….
หนานอีอีตอบกลับทันควัน
“มิเช่นนั้นก็ลองเชิญท่านอาลั่วเหยี่ยนมาดูซี?”
สิ้นเสียงคำพูด ทุกคนที่อยู่ ณ ที่ตรงนั้นพลันเงียบกริบ
หนานอวี่สิงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างลังเล
“นี่… เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเกินไปหน่อยกระมัง? ท่านอาลั่วเหยี่ยนมีใจฝักใฝ่ในการฝึกตน มิเคยก้าวก่ายงานของตระกูล อีกอย่างการมาครานี้ ความตั้งใจเดิมของท่านพ่อคืออยากฝึกฝนเจ้าให้มาก ขอแค่เจ้านำของกลับไปได้ด้วยตัวเองจึงจะเป็นที่ยอมรับของคนในตระกูล หากเชิญท่านอาลั่วเหยี่ยนมาล่ะก็… หลังกลับไปต้องมีคำครหาไม่น้อยจากผู้คนเป็นแน่…”
“แล้วตอนนี้พวกเรามีทางเลือกอื่นหรือไม่เล่า?”
หนานอีอีเองก็กราดเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟเช่นกัน ท่าทีของนางจึงเริ่มหมดความอดทนขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีการมาครั้งนี้นางก็ไม่ได้อยากมาแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้ยังต้องมาตกระกำลำบาก พบเจอความยากเย็นแสนเข็ญมากปานนี้อีก!
ความจริงขอแค่ท่านพ่อส่งคนมามากกว่านี้ก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว เหตุใดมันถึงได้เป็นปัญหามากมายนัก?
“หรือว่าต้องรอให้เกิดเรื่องกับพวกเราก่อน ถึงจะยอมส่งคนมาให้?”
“คุณหนูรอง! คำพูดไม่เป็นมงคล อย่าพูดออกมาซี้ซั้ว” ผู้อาวุโสไป๋ถงรีบเอ่ย “ท่านและคุณชายใหญ่ย่อมต้องจัดการทุกอย่างราบรื่นได้แน่”
หนานอีอีผินหน้าไปพลางลอบแค่นหัวเราะเย็นเยียบอยู่ในใจ
ตอนนี้ตกอยู่ในสภาพนี้กันแล้ว ยังมาพูดเรื่องราบรื่นไม่ราบรื่นบ้าบออันใดอีก?
จะกลับไปได้อย่างปลอดภัยต่างหากเล่าที่เป็นปัญหาใหญ่!
หนานอวี่สิงสีหน้าเคร่งเครียดนัก เขาสองจิตสองใจอยู่นานทีเดียว
ความจริงแล้วเขาเองก็รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าสามารถนำไปสู่ทางตันได้
หากมิเรียกคนมาช่วยแล้วละก็ เกรงว่าพวกเขาคงมิอาจทำภารกิจสำเร็จกลับไปได้
เพียงแต่ว่าการเชิญท่านอาลั่วเหยี่ยนมา… อย่างใดก็ไม่เหมาะสมอยู่มากทีเดียว…
“พี่ใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมาท่านอาลั่วเหยี่ยนก็เอ็นดูข้ามากที่สุด ข้าเชิญเขาให้มาช่วยข้า ไม่ได้ให้เขามาช่วยข้าหาของนั่น หรือว่าแบบนี้ก็มิได้หรือ?”
ประโยคนี้ของหนานอีอีทำให้หนานอวี่สิงพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกในท้ายที่สุด
“ได้!”
…
เข้าสู่ยามดึกแล้ว
บนพื้นที่รกร้างล้วนแต่มืดมิดและเงียบงันจนน่ากลัว
มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวอันนำพามาซึ่งความรู้สึกเย็นยะเยือกที่พัดผ่านข้างหูไม่หยุด
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็หยุดฝีเท้าลง
นางผินศีรษะกลับไปมองแวบหนึ่ง
เงียบสงัด ไร้วี่แววของผู้คน
เงาร่างของคนน่ารำคาญพวกนั้นเองก็ถูกสลัดหลุดแล้วในที่สุด
ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกหนานอวี่สิงอันใดนั่นคิดอันใดอยู่กันแน่ ตลอดทางมานี้ถึงได้ทำตัวเหมือนติดหนึบพวกนางก็มิปาน
ตอนแรกนางยังคิดว่าตัวเองคิดมากไป ภายหลังถึงรู้ว่าพวกเขาตามพวกนางมาอยู่จริงๆ
แม้นพวกเขาจะระวังตัวอย่างมาก แต่บนตัวฉู่หลิวเยว่มีก้อนหินมากมายปานนั้น สัมผัสตอบสนองต่อรอบด้านเองก็เฉียบคมยิ่ง จะไม่รู้สึกถึงได้อย่างใด?
เพียงแค่ว่าใจนางตอนนี้คิดอยากหาตัวองค์ไท่จู่ให้เจอก่อน ถึงได้เมินเฉยพวกเขาไป
โชคดีที่เวลาเหมาะเจาะ นางใช้อุบายเล็กน้อยจึงสามารถสลัดพวกเขาออกไปได้สำเร็จ
ข้างหูของนางเงียบสงบลงได้ในที่สุด ฉู่หลิวเยว่พรูลมหายใจออกมาแผ่วเบา ชักสายตากลับมาเบนมองไปข้างหน้า
ในตอนนี้ ระยะห่างระหว่างพวกเขากับกำแพงเหลือเพียงร้อยจั้งเท่านั้น
ยามยืนอยู่ตรงนี้ก็สามารถเห็นรูปลักษณ์โดยคร่าวของกำแพงนั่นได้ชัดเจนแล้ว
ดุดัน ใหญ่โต เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยกลิ่นคาวเลือด!
หลังจากมองมันอยู่พักหนึ่ง ในหัวของฉู่หลิวเยว่ก็ตะโกนคำเหล่านี้ออกมาโดยพลัน
ก้อนอิฐแลหินสีดำขนาดใหญ่วางซ้อนทับกันเป็นชั้นขึ้นไป พวกมันถูกเรียงตัวไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยนัก
แม้นเผชิญกับการกัดเซาะมาเป็นเวลายาวนาน บนกำแพงจึงปรากฏรอยด่างดวงเต็มผืนผนัง ทว่ากลับดูออกได้ไม่ยากว่าปีแรกๆ ที่ถูกสร้างมันยิ่งใหญ่งดงามเพียงใด
กำแพงอันนี้ใหญ่โตนัก ฉู่หลิวเยว่เงยศีรษะขึ้นไปก็แทบจะมองไม่เห็นยอดแล้ว
ยามปรายตามองขึ้นไป ก็ราวกับว่ามีภาพลวงตาว่ามันเชื่อมเข้ากับฟ้าก็มิปาน
อีกอย่าง กำแพงที่ว่านี้แผ่ขยายออกไปทั้งสองด้านเป็นทางยาวไกลจนมองหาจุดสิ้นสุดไม่เจอ
พวกฉู่หลิวเยว่ที่ยืนกันอยู่ ณ ตรงนี้ตัวเล็กจ้อยราวกับมดก็มิปาน
“เหตุใดสุสานสังหารเทพแห่งนี้ถึงมีกำแพงแบบนี้ด้วย?”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำกับตัวเองเสียงเบา หัวคิ้วของนางขมวดเข้าหากันเป็นปม
“ไหนจะมีไอปีศาจเข้มข้นอวลไปทั่วอีก…”
หลังจากที่นางก้าวเข้ามาในสุสานสังหารเทพ ที่นี่เป็นที่ที่มีไอปีศาจน่าหวาดหวั่นที่สุดแล้ว!
ยืนห่างออกมาไกลขนาดนี้ นางยังรับรู้ได้ถึงไอปีศาจอันน่าหวั่นใจ ยามเผชิญหน้าราวกับคิดจะฉีกกระชากนางออกมาก็มิปาน!
“กำแพงนี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากสงครามสะท้านฟ้าในปีนั้น”
หรงซิวพลันเปิดปากขึ้น
สุ้มเสียงของเขาเรียบเฉยนัก ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวอันไกลโพ้นที่แฝงด้วยความคลุมเครือจากม้วนบันทึกโบราณบางอย่างก็มิปาน
ฉู่หลิวเยว่ผินศีรษะกลับไปมอง
“เจ้าจะบอกว่า… กำแพงนี้มีมาตั้งแต่ครานั้นแล้วหรือ?”
หรงซิวพยักหน้า เห็นแววตาของนางเต็มไปด้วยความใคร่รู้ ริมฝีปากบางจึงคลี่รอยยิ้มจางๆ
“ลือกันว่าครานั้นทั้งสองฝ่ายมิได้อยากสู้กันถึงตาย จึงทำข้อตกลงกันโดยใช้ที่นี่เป็นเขตแดนแบ่งแยกการปกครอง หากแต่น่าเสียดายที่ภายหลังการต่อสู้ยังคงปะทะรุนแรง สถานะของกำแพงนี้จึงกลายเป็นเขตสงครามถึงตายที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมากในปีนั้น”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
มิแปลกใจเลยว่ากำแพงนี่ถึงได้ดูใหญ่โตมโหฬาร ทั้งบนกำแพงยังเปี่ยมด้วยไอปีศาจที่เข้มข้นปานนี้
ที่แท้มันก็มีความเกี่ยวข้องกับสงครามในปีนั้นเข้าจริงๆ
พูดมาถึงตรงนี้ นางยิ่งทวีความสงสัยมากกว่าเก่า
“สามารถดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากมายปานนั้นมารวมตัวกันแถมทยอยพบจุดจบกันอย่างต่อเนื่อง… เป็นเพราะแค่หนังสือเล่มหนึ่งจริงๆ หรือ?”
ดวงตาของหรงซิวหลุบลง
“ผู้คนล้มตายเพื่อสมบัติ วิหคสิ้นชีพเพื่ออาหาร เดิมย่อมเป็นเรื่องปกติเช่นกัน”
ฉู่หลิวเยว่ลูบคางไปมา
“เช่นนั้นสุดท้ายแล้วใครชนะกันแน่? หนังสือเล่มนั้นไปตกอยู่ในมือของใคร?”
หรงซิวส่ายศีรษะ
“ได้ยินมาว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นของทั้งสองฝ่ายมหาศาลนัก แต่สุดท้ายแล้วเป็นผู้ใดที่ได้ของสิ่งนั้นไปกลับเป็นความลับชั่วนิรันดร์”
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย
แต่อย่างใดเสียนี่ก็เป็นเรื่องหลายหมื่นปีมาแล้ว คนรุ่นหลังเองคงมิมีทางรับรู้ได้
นางเก็บความคิดเรื่องนั้นกลับไป ตวัดข้อมือคราหนึ่ง หยิบเอากระบี่หลงหยวนออกมา
แม้บัดนี้นางจะใช้กระบี่หลงหยวนไม่ได้มาก แต่องค์ไท่จู่เก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้ที่นี่หลายพันปี แน่นอนว่าย่อมทิ้งร่องรอยลมปราณของเขาไว้
ตอนนี้กลายเป็นข้อได้เปรียบอำนวยความสะดวกให้นางตามหาคนแล้ว
ฉู่หลิวเยว่สะกดกลั้นลมหายใจพลางเพ่งสมาธิ เริ่มเสาะหาจากสถานการณ์รอบด้านอย่างละเอียด
หากแต่มิพบเจอสิ่งใดเลย
นางเองก็หาได้ย่อท้อไม่ ขาก้าวเดินไปพลางลองหาร่องรอยขององค์ไท่จู่ไม่หยุดหย่อน
สุสานสังหารเทพใหญ่โตปานนี้ จะหาตัวคนผู้หนึ่งย่อมมิใช่เรื่องง่าย
ต่อให้องค์ไท่จู่จะเห็นกำแพงแล้วมุ่งหน้ามาทางนี้ ก็ใช่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งและเวลาเดียวกันกับพวกเขา
ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่พลันใจกระตุกเฮือก รีบเอาหินเหล่านั้นออกมาจากแหวนเฉียนคุนทันที
หินเหล่านี้พากันกลิ้งหลุนๆ ไปทั่วทุกทิศทาง
อย่างใดเสียก็เป็นสิ่งของที่อยู่ที่นี่มาหลายหมื่นปี หากพึ่งพาพวกมัน ฉู่หลิวเยว่ก็จะสามารถขยายขอบเขตการรับรู้ของตัวเองไปได้กว้างกว่าเดิม
หากแต่ไม่ทันไร พลันมีเสียงเครื่องสายทุ้มต่ำสุ้มเสียงหนึ่งลอยแว่วเข้ามาในหู!
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตกใจอย่างมาก รีบหันศีรษะกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว!
… สุ้มเสียงนั้นราวกับว่าดังแว่วออกมาจากภายในกำแพงอย่างใดอย่างนั้น!