ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1683 เสียงฉิน
ตอนที่ 1683 เสียงฉิน
……….
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าว
ทว่าสุ้มเสียงนั้นกลับยังคงห่างไกลเหมือนเก่า ราวกับดังแว่วมาจากที่ไกลๆ คล้ายมีคล้ายไม่มี
เหมือนขนนกที่กวาดปัดเบาๆ อยู่ในใจ หยอกเย้าให้รู้สึกคันยุบยิบ
ฉู่หลิวเยว่ก้าวขาไปข้างหน้าอีกครา สองตาจ้องเขม็งไปยังกำแพงสีดำที่อยู่เบื้องหน้า
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของนาง ฉู่หนิงพลันเอ่ยถามออกไปว่า
“เยว่เออร์ เจ้ากำลังทำอันใดน่ะ?”
ฉู่หลิวเยว่พลันสะดุ้ง ได้สติกลับคืนมาโดยพลัน
เมื่อสบเข้ากับสีหน้าของฉู่หนิง นางพลันเข้าใจถึงอันใดบางอย่าง
“ท่านพ่อ ท่านไม่ได้ยินเสียงอันใดหรือ?”
สีหน้าของฉู่หนิงฉายแววงุนงง
“เสียงอันใดหรือ ไม่มีหนา”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วทันควัน
“ท่านเดินมาตรงนี้หน่อยซี ลองฟังให้ดีๆ อีกรอบ”
ฉู่หนิงเดินไปตามคำบอก หยุดยืนอยู่ข้างกายนาง ก่อนจะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
จากนั้น เขาก็ส่ายศีรษะ
“ไม่ได้ยิน”
เขาไม่ได้ยินเสียงอันใดทั้งนั้นหนา
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันบังเกิดความรู้สึกบางเบาบางอย่างขึ้นมา
หรือว่าเป็นเพราะตอนนี้ขั้นพลังปราณของท่านพ่ออยู่ที่จอมยุทธ์ระดับหนึ่ง ทักษะการได้ยินไม่สู้นางก็เลยไม่ได้ยิน?
นางเบนสายตาไปมองหรงซิว
คนทั้งสองสบสายตาเข้าหากัน
หรงซิวกล่าวถาม
“เยว่เออร์ เจ้าได้ยินสิ่งใด?”
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“เจ้าก็ไม่ได้ยินหรือ?”
หรงซิวพยักหน้า
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากแน่น
หากท่านพ่อไม่ได้ยินอยู่คนเดียวก็แล้วไปเถอะ แต่ตอนนี้กระทั่งผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าอย่างหรงซิวเองก็ไม่ได้ยินเช่นกัน
นี่…
หรือว่ามีแค่นางที่ได้ยินจริงๆ?
นางหลับตาลงอีกรอบเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไป
แม้สุ้มเสียงนี้จะทุ้มแลแผ่วเบานัก แต่กลับมีการบรรเลงอยู่จริงๆ
นางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า
“… ที่ข้าได้ยินมา เหมือนว่าจะมีคนกำลังดีดฉินอยู่”
ท่วงทำนองเสนาะหู ไพเราะจับใจนัก
จังหวะของมันนุ่มนวลเชื่องช้า แต่กลับคว้าใจคนฟังได้อยู่หมัด
“เสียงนี้เหมือนจะดังมาจากในกำแพงเลย”
ฉู่หลิวเยว่พูดไปพลางสาวเท้าก้าวไปยังเบื้องหน้า
ยิ่งเข้าใกล้กำแพงมากเท่าไร ไอปีศาจที่อบอวลเข้มข้นก็ยิ่งน่าหวาดหวั่นมากขึ้นเท่านั้น
แต่มิรู้ว่าเป็นเพราะหินเหล่านั้นหรือไม่ ฉู่หลิวเยว่ถึงได้ไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย
ไม่นาน นางก็ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว
ฉู่หนิงกับหรงซิวเองก็ตามเข้ามาด้วย
หรงซิวยังปกติ หากแต่ในเวลาไม่นาน สีหน้าของฉู่หนิงกลับซีดขาวลงไม่น้อย
แม้ตอนนี้เขาจะกำลังใช้งานร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะอยู่ แต่พลังจอมยุทธ์แต่เดิมกลับยังอยู่ที่ระดับหนึ่งเท่านั้น ข้อนี้อย่างใดก็มิอาจหักล้างได้
นอกจากจะใช้ข้อได้เปรียบของร่างศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทักษะด้านอื่นๆ ของเขากับผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงยังคงมีช่องว่างห่างกันอยู่ไม่น้อย
ฉู่หลิวเยว่กล่าวว่า
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเข้ามา ข้าแค่เข้าไปตรวจสอบว่าของสิ่งนี้มีอันใดกันแน่เสร็จก็จะกลับกันแล้ว ถวนจื่อ เจ้าคอยอยู่กับเขาก่อนแล้วกัน”
ถวนจื่อได้ยินดังนั้นก็ผงกศีรษะ วิ่งกึ่งกระโดดผลุงไปอยู่ข้างกายฉู่หนิงแล้วดึงมือของเขาเอาไว้
“ท่านปู่ฉู่ ข้ามาแล้ว!”
ฉู่หนิงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของถวนจื่ออยู่แล้ว ทว่าทุกครั้งที่เห็นตัวเล็กน่ารักขาวดั่งหิมะของนาง ก็มักลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท หลงเหลือแต่ความชมชอบและรักใคร่เอ็นดูอยู่เต็มอกเท่านั้น
เขารีบตอบว่า
“เอ้อ ดี! ดี! ถวนจื่อช่างเป็นเด็กดีเสียจริง!”
เขาลูบศีรษะของถวนจื่อเบาๆ อย่างเอ็นดู
ทว่าเมื่อลองคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว ก็กล่าวขึ้นอีกว่า
“ท่านปู่ฉู่อยู่ที่นี่ไม่เป็นไรหรอก ถวนจื่อ เจ้าไปพร้อมกับเยว่เออร์…”
เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ายิ่งเข้าใกล้กำแพงนั่นมากเท่าไร ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
อีกทั้งตอนนี้เยว่เออร์ก็เอาแต่พูดว่าได้ยินเสียงอันใดบางอย่าง… ในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความกังวล
ถวนจื่อบึนปากน้อยๆ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอย่างสดใส
“ไม่เป็นไรหรอก! อาเยว่มีองค์รัชทายาทอยู่ข้างกายแล้วนี่!”
ฝีเท้าของหรงซิวหยุดชะงัก ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจ
ไม่เสียแรงที่สั่งสอนไป
ฉู่หนิงได้ยินดังนั้น รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่ไม่น้อยจึงผงกศีรษะเช่นกัน ก่อนจะจูงมือน้อยๆ ของถวนจื่อให้มาหยุดรอที่เดียวกันกับเขา
…
ยามเดินมาถึงหน้ากำแพง ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็หยุดยืนนิ่ง
พอยืนอยู่ใกล้ๆ แล้ว ก็สามารถมองเห็นร่องรอยทุกอย่างบนกำแพงได้อย่างชัดเจน
รอยคมกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา หลงเหลือแต่เพียงรอยกรีดตื้นลึกที่ซ้อนทับกันเป็นจุดๆ เท่านั้น
นางได้กลิ่นแม้กระทั่งกลิ่นอายคาวเลือดจางๆ ที่อวลอยู่เสียด้วยซ้ำ
คราบผงฝุ่นที่ลอยมาตามลมแฝงไว้ซึ่งความโดดเดี่ยวและเศร้าโศกอย่างบรรยายไม่ถูก
จิตใจของฉู่หลิวเยว่พลันหนักอึ้งขึ้นมา
นางจ้องเบื้องหน้าด้วยท่าทีเหม่อลอย ในใจรู้สึกราวกับว่ามีอารมณ์นับไม่ถ้วนถาโถมสาดซัดเข้ามา
ทว่าอารมณ์ที่จับต้องได้กลับมิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ทำได้แค่ปล่อยให้อารมณ์อันซับซ้อนเหล่านี้โหมกระหน่ำขึ้นลงอยู่ในอกไม่หยุดหย่อน
นางยื่นมือออกไปทาบลงบนกำแพงอย่างช้าๆ
รับรู้สัมผัสเย็นเฉียบ หยาบกระด้างแลหนาหนักผ่านมือตน
อีกทั้งเสียงฉินกลับดังก้องขึ้นอย่างชัดเจนในทันใด
ทุกการดีด ทุกเสียงทำนอง
ล้วนแต่ลอยเข้าหูของนาง ตกกระทบลงสู่ก้นบึ้งจิตใจของนางอย่างจัง
ภายในความมืดมิด ราวกับว่านางได้เห็นเงาร่างหนึ่งยืนตระหง่านเพียงลำพังในพื้นที่รกร้างอันหนาวเหน็บแลเย็นยะเยือก
นางมองเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นได้ไม่ชัด มองไม่ออกกระทั่งว่าคนผู้นั้นเป็นบุรุษหรือสตรี
นางเห็นแค่ว่าในอ้อมอกคนผู้นั้นกอดฉินเอาไว้ นิ้วมือกรีดกรายออกเบาๆ
เสียงฉินจึงดังแว่วมาจากใต้เงื้อมือของคนผู้นั้น
เสียงฉินที่เดิมทีฟังดูปิติสุขนัก บัดนี้พอฟังแล้วกลับแฝงไว้ซึ่งความเย็นเยียบอย่างอธิบายไม่ถูก
โลกตกสู่ความมืดมิด สายลมพัดโหมเมฆาเคลื่อนคล้อย
ท่ามกลางความว่างเปล่า คนที่ยืนอยู่ผู้เดียวมีเพียงฉินคอยยืนหยัดเคียงข้าง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
มือที่ดีดฉินอยู่ของคนผู้นั้นเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เสียงดนตรีที่แต่เดิมดังแว่วมาจากที่ไกลพลันแฝงจิตสังหารโดยพลัน!
เสียงฉินพลันดังเตร๊งเตร๊ง!
ชั่วพริบตาก็ราวกับว่าโลกทั้งใบได้เปลี่ยนสีฉับพลัน!
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างเข้าบีบรัดอย่างแรง!
เสียงฉินเริ่มทวีความเร็วขึ้นเรื่อยๆ!
ชั่วพริบตา ก็ราวกับเห็นประกายดาบคมกระบี่ แลโลหิตที่สาดเซ็นไปทั่วทุกทิศ!
ริมฝีปากและไรฟันของฉู่หลิวเยว่พลันมีรสคาวทะลักออกมาในทันใด!
“เยว่เออร์!”
เสียงทุ้มต่ำของหรงซิวพลันดังขึ้นข้างหูของนาง!
นางได้สติกลับคืนมาในฉับพลัน!
หรงซิวคว้ามือหนึ่งของนางเอาไว้ ดึงออกมาให้ห่างจากบนกำแพงนั่นในบัดดล!
เตร๊ง!
เสียงฉินพลันหยุดลง!
ทุกสิ่งทุกอย่างหายวับไปทันที!
ฉู่หลิวเยว่สั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาทันที!