ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1684 แม้นอยู่ใกล้แต่ดุจดั่งห่างไกล
ตอนที่ 1684 แม้นอยู่ใกล้แต่ดุจดั่งห่างไกล
……….
“เยว่เออร์!”
“อาเยว่!”
ฉู่หนิงและถวนจื่อต่างก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่ยังดูปกติดีทุกอย่าง ใครก็ไม่มีทางคาดคิดว่าจู่ๆ นางจะกระอักเลือดออกมา
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“ข้าไม่เป็นไร”
หรงซิวหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวหิมะออกมาช่วยนางซับคราบเลือดตรงมุมปาก ขณะเดียวกันก็ถ่ายเทพลังปราณดั้งเดิมของตนเข้าสู่ร่างฉู่หลิวเยว่ ค่อยๆ ช่วยนางปรับพลังที่ปั่นป่วนภายในทีละน้อย
จนกระทั่งลมปราณของนางค่อยๆ สงบนิ่ง หรงซิวจึงได้หยุดถ่ายพลัง หากแต่ก็มิยอมปล่อยมือนางแต่อย่างใด
ฉู่หลิวเยว่พลิกมือมากุมมือเขาไว้ แววตาเผยประกายปลอบเขาเป็นเชิงให้อุ่นใจ
“ข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ เมื่อครู่แค่ไม่ทันตรวจดูให้ดีเลยถูกเล่นงานเข้า ทำให้พลังปราณดั้งเดิมภายในร่างปั่นป่วน…”
เพียงแต่ยังดีที่หรงซิวยื่นมือเข้าช่วยทันเวลา ความปั่นป่วนยังไม่ทันได้แผลงฤทธิ์ก็ถูกยับยั้งไว้ก่อนแล้ว
แม้นกระอักเลือด แต่โชคยังดีที่ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบอันใดร้ายแรงมากนัก
หรงซิวจัดการตรวจสอบสภาพร่างกายนางด้วยตัวเอง เมื่อรู้ว่านางพูดความจริง ในใจก็โล่งอกไม่น้อย
แต่ภายในนัยน์ตาหงส์ลึกล้ำคู่นั้นยังคงแฝงไอเย็นเยียบอยู่หลายส่วน
“เมื่อครู่… เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
นี่เป็นสิ่งที่ฉู่หนิงและถวนจื่อเองก็อยากรู้มากที่สุดเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้า
แม้จะรู้สึกว่าสิ่งที่พบเจอเมื่อครู่ดูจะแปลกประหลาดและไม่สมจริงอยู่หลายส่วน แต่สุดท้ายนางก็เลือกบอกความจริงไป
“… เมื่อครู่ข้าได้ยินว่ามีคนกำลังดีดฉิน”
จากนั้น นางก็เล่าสิ่งที่ตัวเองสัมผัสได้ทั้งหมดให้ฟังกันไปรอบหนึ่ง
ฉู่หนิงขมวดคิ้วแน่น
ถวนจื่อมีสีหน้ากังวล
หรงซิวหรี่ตาลงน้อยๆ ราวกับจมลงสู่ห้วงความคิด มิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“… เสียงฉินนั่นเหมือนแฝงมนต์คาถาเอาไว้ ทำให้ผู้ที่ได้ยินเคลิบเคลิ้มกับเสียงเพลงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพอเวลาผ่านไป เสียงฉินก็ยิ่งบรรเลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ เปี่ยมด้วยจิตคิดสังหาร เมื่อครู่ข้าเพียงประมาทไปชั่วขณะเท่านั้น ถึงได้…”
ฉู่หลิวเยว่พูดถึงตรงนี้ก็พลันหยุดชะงัก
“ท่านพ่อ หรงซิว พวกท่านไม่ได้ยินเสียงอันใดเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ หรือ?”
หรงซิวเบนสายตาขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวลแต่กลับหนักแน่น
“ไม่”
ในตอนนั้นเอง เงาร่างภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงของฉู่หลิวเยว่พลันวูบไหว กลับเป็นฉู่หนิงที่กำลังเดินมาทางนี้อย่างว่องไวนั่นเอง
ไอปีศาจด้านนี้เข้มข้นนัก กว่าเขาจะเดินมาได้ก็ลำบากมิใช่น้อย
เดินไม่กี่ก้าวก็ทำให้เม็ดเหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผากของเขา สีปากเองก็ค่อยๆ ซีดขาวลงเรื่อยๆ
“ท่านพ่อ?”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ในตอนที่กำลังจะห้ามปราม ฉู่หนิงก็กัดฟันเดินมาถึงข้างกายนางแล้ว
นางพรูลมหายใจยาวเหยียด ก่อนจะยื่นมือออกไปทาบลงบนกำแพงโดยไม่ลังเล
“ท่านพ่อ…”
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก รีบยื่นมือออกไปขวางไว้ทันที
ทว่าฉู่หนิงกลับส่ายศีรษะ
“เยว่เออร์มิต้องเป็นห่วง พ่อเพียงแค่ลองดูเท่านั้นว่าข้างในนี้มีอันใดแปลกๆ อยู่กันแน่”
โดยเฉพาะยามเห็นนางบาดเจ็บ ก็ยิ่งรู้สึกย่ำแย่กว่าเก่า
“อย่างใดเสียตอนนี้พ่อมีร่างศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะบาดเจ็บ”
ในใจของฉู่หลิวเยว่รู้สึกอุ่นวาบนัก จึงมิได้เอ่ยคำพูดที่เหลือที่ยังค้างคาอยู่ออกไป
ฉู่หนิงจึงจัดการวางทาบฝ่ามือลงบนกำแพงสีดำสนิท
เนิ่นนาน
เขาก็ผละมือออกมาด้วยสีหน้าที่แฝงด้วยความผิดหวังอยู่หลายส่วน
เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ได้ยินอันใดทั้งนั้น
แท้จริงแล้วฉู่หลิวเยว่หาได้ประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้ไม่
ที่นางสงสัยมีแค่ว่า เหตุใดในหมู่คนที่ยืนอยู่ที่นี่ มีเพียงนางที่ได้ยินเสียงฉินนั่นคนเดียว?
อีกอย่าง ในตอนที่มือของนางวางทาบลงไปบนกำแพง เสียงฉินนั่นก็ดังชัดแจ๋วขึ้นมาในทันที ราวกับมันดังอยู่ข้างหูก็มิปาน
ในตอนที่นางปล่อยมือออก ความรู้สึกที่ว่าก็สลายหายไปทันควัน
นางสะกดกลั้นลมหายใจเพ่งสมาธิ ในหูยังคงได้ยินถึงสุ้มเสียงคล้ายมีคล้ายไม่มีนั่นได้จางๆ
เพียงแต่ว่าท่วงทำนองกลับมาทุ้มไพเราะเสนาะหู มิได้เผยแววสังหารดั่งก่อนหน้าอีก
หากมิใช่เพราะในปากยังคงอวลไปด้วยรสคาวเลือด ฉู่หลิวเยว่คงคิดแล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นแค่ภาพหลอนของตัวเอง
“เยว่เออร์ กำแพงนี้แปลกประหลาดนัก พวกเราระวังไว้หน่อยดีกว่า”
ฉู่หนิงขมวดคิ้ว
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ขยับไหว แต่เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเขา ท้ายที่สุดนางก็พยักหน้ารับ
“เยว่เออร์เข้าใจแล้ว รอพบองค์ไท่จู่ก่อน พวกเราจะรีบออกไปจากที่นี่กันทันที”
…
คนทั้งหลายจึงพากันรออยู่ที่เดิมด้วยประการฉะนี้
ฉู่หลิวเยว่หยิบก้อนหินพวกนั้นออกมาแบ่งหน้าที่แล้วส่งออกไป ภายในระยะทางสิบกว่าลี้ หากมีความเคลื่อนไหวใด นางจะรับรู้ได้ทันที
ยามค่ำคืนมืดสนิทนัก ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยความเงียบสงัด
หรงซิวรับหน้าที่เฝ้ายาม จัดการกางค่ายกลสกัดกั้นไอปีศาจอันน่าหวาดหวั่นเหล่านั้นออกไป
ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิ ก่อนจะเริ่มเพ่งจิตโคจรลมปราณ
ส่วนฉู่หนิงที่นั่งอยู่ข้างๆ นางเองก็เริ่มเพ่งสมาธิเข้าฝึกตนเช่นกัน
ถวนจื่อสองตาเบิกกว้าง สองมือกอดอก จ้องเขม็งไปยังกำแพงอย่างโกรธเกรี้ยวราวกับจะใช้สายตาทิ่มแทงทะลุมันก็มิปาน
นี่มันของเฮงซวยอันใดกันถึงได้ทำให้อาเยว่กระอักเลือดออกมาเช่นนั้น!
หากมิใช่เพราะอาเยว่ห้ามไว้ นางจะจัดการทำลายกำแพงนี่ให้ราบเสีย!
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ท่ามกลางความมืดมิด กำแพงอันนี้ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดินอย่างเงียบเชียบ
…
ทว่าสำหรับฉู่หลิวเยว่แล้ว นางกลับมิอาจสงบจิตสงบใจได้อย่างเต็มที่
เพราะนางยังคงได้ยินเสียงฉินนั่นอยู่ตลอด
ทว่ามันพร่าเลือนนัก คล้ายมีคล้ายไม่มี
นางพยายามที่จะปิดการได้ยินของตนอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ผล
เสียงฉินนั่นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของนาง จะอย่างใดก็เอาไม่ออก
ทันใดนั้น หินก้อนหนึ่งพลันกลิ้งหลุนๆ มาหยุดข้างเท้าของนาง
ใจฉู่หลิวเยว่กระตุกเฮือก นางลืมตาขึ้นมองไปยังเบื้องหน้าทันที
ลมปราณที่คุ้นเคยสายหนึ่งค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ!
นั่นมัน…
องค์ไท่จู่นี่!?
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตะลึงระคนดีใจ รีบหยัดกายลุกขึ้นทันที
เมื่อรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของนาง คนที่เหลือพลันหันขวับมามองนาง
ฉู่หลิวเยว่ระงับความตื่นเต้นในใจของตน กล่าวว่า
“องค์ไท่จู่น่าจะอยู่ใกล้ๆ แถวนี้แล้ว!”
ฉู่หนิงได้ยินดังนั้นก็รีบผุดลุกขึ้นเช่นกัน แล้วเอ่ยถามอย่างดีใจว่า
“จริงหรือ? สามารถบอกให้ละเอียดหรือไม่ว่าอยู่ทางไหน?”
เพราะรู้ว่าฉู่หลิวเยว่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้อย่างมาก ดังนั้นเมื่อเห็นความคืบหน้า ฉู่หนิงเองก็ปิติยินดีมากเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ
“ข้าแค่สัมผัสได้ถึงลมปราณขององค์ไท่จู่ จะให้ลึกกว่านั้นยังต้องสืบหาต่ออีกสักหน่อย แต่ว่าคงไม่ไกลมากแล้ว”
พูดไปพลาง นางก็ปิดตาลงเบาๆ สองมือโบกสะบัดอยู่เบื้องหน้า
ครืน…
ก้อนหินที่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบค่อยๆ เริ่มกลิ้งมารวมตัวกันบริเวณที่นางอยู่อย่างรวดเร็ว!
อีกทั้งความเคลื่อนไหวของพวกมันยังพาความเปลี่ยนแปลงแลการเคลื่อนไหวของพลังในอากาศที่ลอยอยู่รอบๆ ทั่วทั้งสี่ทิศมาด้วย
สตินึกคิดของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ แผ่ขยายการรับรู้ออกไป
แม้จะยังคงหลับตาอยู่ แต่นางเองก็ยังคง ‘มองเห็น’ ภาพฉากแวดล้อมโดยรอบได้อย่างชัดเจนดังเดิม
ลมปราณขององค์ไท่จู่เองก็กำลังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ!
ชั่วขณะหนึ่ง นางก็สามารถมองเห็นตำแหน่งที่ชัดเจนได้ในท้ายที่สุด จึงลืมตาขึ้นมาอีกครา
ทว่าครานี้ สีหน้าของนางกลับซับซ้อนกว่าเดิมมากนัก
หรงซิวหรี่ตาลง ราวกับเดาได้ถึงอันใดบางอย่าง
หากแต่ฉู่หนิงกลับมิเข้าใจอยู่หลายส่วน
“เยว่เออร์… เป็นอันใดไป? หาเจอแล้วมิใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะ หากแต่หัวคิ้วกลับขมวดกันจนยับย่น
ฉู่หนิงยิ่งงงงวยหนักขึ้นไปอีก
ในเมื่อหาเจอแล้ว เหตุใดถึงมีท่าทีเป็นกังวลเช่นนี้อยู่อีกเล่า?
“เช่นนั้น… ตอนนี้ผู้อาวุโสซั่งกวนอยู่ที่ใดเล่า? พวกเราจะมุ่งหน้าไปกันเลยหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากแน่น
ผ่านไปสักพัก นางก็พ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบา
“เกรงว่า… คงทำได้ยากอยู่ไม่น้อย”
นางยกมือขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยทีละคำว่า
“เหมือนว่า… องค์ไท่จู่จะอยู่หลังกำแพงนั่น”