ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1686 หากตัวข้าบอกว่า ‘ไม่’ เล่า
ตอนที่ 1686 หากตัวข้าบอกว่า ‘ไม่’ เล่า
……….
ความรู้สึกเย็นเยียบสายหนึ่งพลันแล่นขึ้นจากฝ่าเท้าปราดขึ้นไปยังด้านบน!
ไอเย็นยะเยือกที่พัดผ่านตามมาทำเอาฉู่หลิวเยว่หนาวเหน็บไปทั่วสรรพางค์กาย
ยามกำแพงสีดำที่เป็นรอยด่างดวงอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าก็ดูจะใสกระจ่างขึ้นมาทันตาเห็น
ฉู่หนิงเองก็ตื่นตะลึงจนหยุดอยู่กับที่
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้?”
ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดเลยว่ากำแพงนี่จะหายไปหลังฟ้าสาง
เหตุใดวันนี้ถึงได้…
“ดูเหมือนว่าคงต้องคิดหาวิธีอื่นแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เลือกที่จะยอมรับความจริงอยู่ดี
แม้นมิรู้ว่าเหตุใดกำแพงที่ไม่หายไป แต่นางรู้สึกได้รางๆ ว่ามันจะมีความเกี่ยวข้องกันกับเสียงฉินที่ตนได้ยินอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ทว่าตอนนี้นางมิมีหลักฐานใดมายืนยัน จึงยากที่จะพูดออกไปได้
ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“องค์ไท่จู่ ท่านยังอยู่ดีหรือไม่?”
ซั่งกวนจิ้งเองก็ไม่ได้หลับเลยทั้งคืน
ทว่าหลังผ่านการฟื้นบำรุงมาตลอดทั้งคืน ร่างกายของเขาจึงฟื้นฟูไปมากแล้ว เสียงเองก็ฟังดูแข็งแรงกว่าเดิมขึ้นเยอะ
“ข้าปกติดีทุกอย่าง เยว่เออร์ไม่ต้องเป็นกังวลไป”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวถามว่า
“องค์ไท่จู่ หากตอนนี้พวกเราแยกย้ายออกไปคนละทาง แล้วค่อยเจอกันด้านนอกสุสานสังหารเทพ ท่านว่าอย่างใด?”
ซั่งกวนจิ้งถอนหายใจ
มิใช่ว่าเขาไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่ถามมา
คิดจะข้ามกำแพงนี่มาเจอกันช่างทำได้ยากโดยแท้
หากสามารถรวมกลุ่มกันด้านนอกได้อย่างราบรื่นนั่นก็ไม่เลว
เพียงแต่เรื่องสำคัญมันอยู่ที่ว่า…
“เยว่เออร์ สุสานสังหารเทพมีทางเข้าหลายทาง ทางออกเองก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งตรงกลางเองก็มีกระแสวุ่นวายสลายสูญมากมายก่ายกอง ประมาทนิดเดียวก็หลงทิศทางได้ ครานั้นข้าถึงได้ตรงไปยังบุพกาลชายแดนเหนือ หากพวกเราแยกย้ายกันออกไป คิดจะพบกันใหม่ เกรงว่าจะ…”
ต้องเสียเวลาไปไม่ใช่น้อย
ฉู่หลิวเยว่ชะงักด้วยรู้สึกปวดหัวยิ่งกว่าเก่า
ที่องค์ไท่จู่พูดมาก็เป็นเรื่องที่นางเองกังวลมากที่สุดเช่นกัน
สุสานสังหารเทพแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปแล้วจริงๆ!
ด้วยเป็นพื้นที่เปิดรกร้าง ทั้งยังมิอาจเหาะเหินเดินอากาศได้
หากเดินหลงกันไปครั้งหนึ่งแล้ว คิดจะหาคนอีกรอบ มิรู้ว่าต้องใช้เวลาและแรงกายมากเท่าไร
เสียงฉินที่ก้องวนอยู่ในหัวก็ดูจะเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังคอยเอ้อระเหยวนเวียนไม่หยุด ทำให้ฉู่หลิวเยว่ทวีความร้อนใจมากกว่าเก่า
ปั่ก!
นางกัดฟันกรอด ก่อนจะต่อยลงไปบนกำแพงคราหนึ่ง
สุดท้ายแล้วก็…
หึ่ง!
เสียงกระเพื่อมไหวแผ่วเบาพลันแว่วดังขึ้นมาจากภายในตำแหน่งตันเถียน!
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตะลึงอย่างมาก นางพลันได้สติขึ้นมาในทันใด!
แรงสั่นไหวนี้คือ… ไข่มุกธาราเม็ดนั้นนี่!
“เยว่เออร์ เป็นอันใดไป?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะน้อยๆ จากนั้นก็ลองต่อยกำแพงไปอีกรอบหนึ่ง
หึ่ง!
มีแรงกระเพื่อมไหวสะเทือนขึ้นมาอีกแล้ว!
สิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุดคือครานี้ฉู่หลิวเยว่ใช้แรงลงไปมากกว่าเดิมเท่าหนึ่ง แรงสั่นที่เกิดจากไข่มุกธาราจึงรุนแรงกว่าครั้งแรกอยู่ไม่น้อยทีเดียว
นี่มัน…
ฉู่หลิวเยว่ปรายตามองไปยังกำแพงด้วยความใคร่รู้เต็มเปี่ยม สายตาแตกต่างกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าก่อนหน้านี้เจ้ามีความคุ้นเคยคล้ายมีคล้ายไม่มีที่ว่านั่นมันมาจากไหน!
… ลมปราณที่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่สูงส่งนั้นคล้ายกับไข่มุกธาราที่อยู่ในตำแหน่งตันเถียนของนางเลยมิใช่หรือไรกัน!?
เพียงแต่หลังจากที่นางบุกทะลวงสู่ระดับเทพขั้นสูงเรียบร้อยแล้ว ไข่มุกธาราก็อ่อนกำลังลงมาก ทั้งยังอยู่รอในร่างของนางอย่างสงบเสงี่ยมมาโดยตลอด
ดังนั้นนางจึงมิได้นึกถึงมันอีกเลยมาระยะหนึ่งแล้ว
แต่พอนึกย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้านี้… นางเองก็ถูกไข่มุกธาราทำตัวเจ้ากี้เจ้าการใส่ไม่น้อยเลยหนา!
ในแววตาของฉู่หลิวเยว่เต็มเปี่ยมไปด้วยความฉงน
หรือว่า… ไข่มุกธาราภายในร่างของนางจะมีความเกี่ยวข้องกับกำแพงตรงหน้านี่?
หากเป็นแบบนั้นจริงๆ เช่นนั้นก็แปลว่านางสามารถหาวิธีข้ามกำแพงไปรวมกลุ่มกับองค์ไท่จู่ใหม่อีกครั้งได้น่ะซี?
ความคิดนี้เพิ่งแล่นผ่านสมองนางได้ไม่ทันไร สุ้มเสียงเสียดหูสายหนึ่งพลันดังแว่วมาจากด้านหลัง
“ท่านอาลั่วเหยี่ยน นั่นพวกเขาอย่างใดเล่า!”
…
เป็นวิญญาณร้ายตามหลอกหลอนกันจริงๆ สินะ…
ฉู่หลิวเยว่นวดหว่างคิ้วของตน ค่อยๆ หันหลังกลับไป ก่อนจะพบเข้ากับดวงหน้าที่คุ้นเคยทั้งหลายเข้ามาตามที่คาด
คนที่เพิ่งเอ่ยปากไปเมื่อครู่ก็คือหนานอีอี
หนานอีอีในตอนนี้นั้นทำหน้าทำตาอวดเบ่ง สีหน้าโอหังแตกต่างจากท่าทีขลาดกลัวไม่สู้คนก่อนหน้านี้อยู่มากโข
ตั้งแต่หัวจรดเท้าไร้ซึ่งความเกรงกลัวแม้สักเสี้ยวอย่างเช่นก่อนหน้า
ในตอนนั้นเอง นางยืนอยู่ข้างบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง ก่อนจะชี้นิ้วมาทางฉู่หลิวเยว่
“เป็นนาง! ที่ทำร้ายพวกข้าจนตกอยู่ในสภาพตกต่ำเช่นนี้! ท่านอาลั่วเหยี่ยน ท่านต้องช่วยอีอีแก้แค้นนะเจ้าคะ!”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว พลางหัวเราะออกมา
มิน่าเล่าถึงได้เปลี่ยนไปมีท่าทีโอหังขนาดนี้ ที่แท้ก็เรียกกำลังเสริมมานี่เอง
สายตาของนางเบนออกไปมองบุรุษที่ถูกหนานอีอีเรียกว่า ‘ท่านอาลั่วเหยี่ยน’
บุรุษผู้นั้นดูแล้วอายุอานามประมาณสามสิบ รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวขาวเหลือง คิ้วโก่งตาเป็นประกาย ดูแล้วเรียกได้ว่าเป็นคนรูปงามคนหนึ่ง
ทว่าที่ดึงดูดความสนใจคนยิ่งกว่าคือท่วงท่าสง่างามจนน่าตกตะลึง!
แม้อีกฝ่ายจะยังมิได้ลงมือ ฉู่หลิวเยว่กลับตัดสินขั้นพลังปราณของเขาได้ในทันที
… ย่อมต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย!
อีกทั้ง… ยังเป็นพวกที่มีพลังต่อสู้กล้าแกร่งด้วย!
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ที่นางเคยพบเจอมาในชีวิตแท้จริงแล้วมีน้อยจนแทบนับนิ้วได้ แต่ทุกคนล้วนแล้วแต่สร้างความประทับใจให้นางได้ทั้งนั้น
คนประเภทนี้มีกลิ่นอายที่แตกต่างจากเซียนหมอระดับปรมาจารย์และช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์โดยสิ้นเชิง
เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอันใดก็มีแรงคุกคามมหาศาลมากพอแล้ว!
มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดจู่ๆ หนานอีอีถึงได้มีความมั่นอกมั่นใจปานนี้…
ในตอนที่ฉู่หลิวเยว่กวาดตาสำรวจลั่วเหยี่ยน ลั่วเหยี่ยนเองก็กวาดตาประเมินนางอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
หลังจากมองตั้งแต่หัวจรดเท้าไปรอบหนึ่ง ในแววตาของเขาพลันทอประกายประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง
เพราะว่า… เขามิอาจตรวจสอบขั้นพลังปราณที่แท้จริงของแม่นางผู้นี้ได้
แน่นอนว่าพลังของอีกฝ่ายสู้เขาไม่ได้ เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ วิสัยทัศน์เองก็ขึ้นชื่อว่าดีเลิศ พูดตามตรง เพียงแค่กวาดตามองก็สามารถมองรายละเอียดของฝั่งตรงข้ามได้ทะลุปรุโปร่ง
แต่กับแม่นางผู้นี้…
เขากลับมองไม่ออกเสียอย่างนั้น
มีคำอธิบายเดียวนั่นก็คือ… บนร่างของนางต้องพกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ธรรมดาสักชิ้นที่ใช้ปกปิดลมปราณโดยเฉพาะ จนกระทั่งเขายังมิอาจมองออกได้
ดูเหมือนจะประเมินพวกเขาต่ำไปไม่ได้แล้วกระมัง…
ความคิดของลั่วเหยี่ยนตีรวนไปมาในหัว แต่สีหน้าที่แสดงออกกลับเรียบนิ่งยิ่ง
เขาไพล่มือไว้ด้านหลัง สาวเท้าไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง
“บาดแผลบนตัวอีอี เจ้าเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่กลับมีรัศมีความน่าเกรงขาม ทั้งยังแฝงไปด้วยความนัยว่าตนสูงส่งแลเหนือกว่า
ยามประโยคธรรมดาสามัญหลุดออกจากปากเขา ก็ดูราวกับประโยคสอบถามก็มิปาน
ฉู่หลิวเยว่ยังไม่ทันเปิดปาก หรงซิวก็เดินล้ำมายังเบื้องหน้าของนางแล้ว
“โผล่มาโดยไม่แนะนำตัวเอง ก็ถามชายาตัวข้าเช่นนี้แล้ว นี่เป็นกฎของพวกเจ้าตระกูลหนานหรืออย่างใด?”
ลั่วเหยี่ยนขมวดคิ้วในทันใด
“เจ้าคือหรงซิว โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์งั้นหรือ?”
ริมฝีปากบางของหรงซิวบิดขึ้นน้อยๆ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ก่อนมานี้ พวกเขาน่าจะบอกเกี่ยวกับพวกข้าไปไม่ใช่น้อยแล้ว ตอนนี้ยังจะมาถามคำถามนี้อีก ไม่คิดว่ามันเยิ่นเย้อไปหน่อยหรือ?”
ลั่วเหยี่ยนค่อยๆ ลอบกำหมัดเข้าหากันแน่น
ระหว่างทาง เขาฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้โดยคร่าวๆ มาจากเจ้าพวกนี้แล้วจริงๆ
ตอนแรกยังคิดอยู่เลยว่าพวกนั้นคงให้พูดดูใหญ่โตไปทั้งอย่างนั้น บัดนี้มาดูแล้ว พวกหรงซิวช่างยโสโอหังเหมือนอย่างที่เจ้าพวกนี้พูดไม่มีผิด!
รู้อยู่แก่ใจว่าเขามาเพื่อทวงหนี้แค้น ก็ยังคงทำตัวเหิมเกริมเช่นนี้ กระทั่งคิดตาต่อตา ฟันต่อฟันกันแล้วด้วยซ้ำ!
ลั่วเหยี่ยนส่งเสียงหัวเราะ แต่เห็นได้ชัดว่ามิได้เห็นหรงซิวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“หรงซิว การที่พวกคนหนุ่มทำตัวเหลาะแหละน่ะข้าเข้าใจได้ แต่ถ้าบ้าบิ่นเกินไปไม่ใช่เรื่องดีอันใด วันนี้ข้ามาเพื่อขอคำอธิบายให้อีอี เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า ข้าแนะนำว่าเจ้าถอยไปจะดีกว่า”
เจตนาภายใต้คำพูดก็คือจงใจมาหาเรื่องฉู่หลิวเยว่โดยเฉพาะ!
หรงซิวเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน เพียงแต่หว่างคิ้วกลับดูราวปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ไอเย็นเยียบแผ่ออกมาชวนหนาวยะเยือก!
“หากตัวข้าบอกว่า ‘ไม่’ เล่า?”
……….