ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1687 ขอขมา
ตอนที่ 1687 ขอขมา
……….
สิ้นเสียงคำพูด บรรยากาศโดยรอบพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที!
รอยยิ้มบนดวงหน้าของลั่วเหยี่ยนจางลงไปในบัดดล
“หรงซิว ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าค่อนข้างมีชื่อเสียงขจรไกลในอาณาจักรเสิ่นซวี่ แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน เจ้าคงรู้อยู่แก่ใจกระมัง? ข้าเห็นว่าเจ้านับได้ว่าเป็นคนมีหน้ามีตาคนหนึ่งถึงได้ไว้หน้าเจ้า อย่าได้คิดสำคัญตัวไปเชียว”
หรงซิวกลับทำราวกับตนเพิ่งได้ยินเรื่องตลกก็มิปาน รอยยิ้มตรงมุมปากยิ่งลึกล้ำมากกว่าเก่า
“เจ้าอยากหาเรื่องชายาข้าโดยไม่ให้ข้าสอดมือเข้ามาแทรกหรือ… ลั่วเหยี่ยน เจ้าไม่คิดตลกตัวเองหน่อยหรือไร?”
คำพูดนี้ทำให้รอยยิ้มสุดท้ายบนดวงหน้าของลั่วเหยี่ยนหายวับไปโดยสิ้นเชิง
สีหน้าของเขาพลันเย็นเยียบขึ้นมาหลายส่วน แรงกดดันมหาศาลรุนแรงแผ่ออกจากตัวเขาไม่หยุด
“เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับข้าให้ได้เลยใช่หรือไม่?”
หรงซิวเพียงยิ้มมิตอบคำ ราวกับคร้านจะตอบคำถามนี้ก็มิปาน
ท่าทีเช่นนี้กระตุ้นต่อมโมโหของลั่วเหยี่ยนได้โดยมิต้องสงสัย!
“เจ้า…”
“ท่านอาลั่วเหยี่ยน!”
ยามเห็นว่าเขาใกล้หมดความอดทนเต็มที หนานอีอีจึงรีบรั้งแขนของเขาเอาไว้
“ท่านอาลั่วเหยี่ยน ครานี้มิใช่ว่าท่านมาเพื่อแก้แค้นให้ข้าหรอกหรือ? อย่าพุ่งเป้าผิดคนซีเจ้าคะ!”
ก่อนหน้านี้บอกไปแล้วมิใช่หรือไรว่าความขัดแย้งและปัญหาทั้งหมดล้วนเป็นซั่งกวนเยว่ผู้นั้นก่อขึ้นมา?
ลั่วเหยี่ยนมองนางด้วยท่าทีครุ่นคิดแวบหนึ่ง
หนานอีอีหลบสายตาด้วยรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
พวกหนานอวี่สิงที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างก็สบสายตากันอย่างอดไม่อยู่ ทุกคนล้วนแต่มีสีหน้าซับซ้อนยิ่ง
ความจริงแล้วหากสืบสาวราวเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วละก็ เห็นได้ชัดเลยว่าหรงซิวสมควรถูกหมายหัวมากกว่า
แต่ว่าหลังจากที่หนานอีอีเชิญลั่วเหยี่ยนมา กลับโยนความผิดทุกอย่างไปให้ซั่งกวนเยว่เสียอย่างนั้น
มาถึงขั้นนี้แล้ว ไฉนเลยพวกเขาจะดูเจตนาของหนานอีอีไม่ออกกัน?
ทว่าเรื่องราวดำเนินมาจนบัดนี้ จึงมิอาจพูดอันใดออกไปได้มาก
แต่ไหนแต่ไรมาลั่วเหยี่ยนก็รักใคร่เอ็นดูหนานอีอียิ่งกว่าอันใดดี ทั้งยังเชื่อทุกคำพูดของนางโดยมิคิดเฉลียวใจแม้แต่น้อย
หากพวกเขาพูดเรื่องพวกนี้ไปตอนนี้ จะไม่ยิ่งสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นหรือไร?
ดังนั้นพวกเขาจึงจำต้องเงียบปากไว้
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของคนเหล่านี้แล้ว ลั่วเหยี่ยนก็เดาได้ในบัดดล
แม้เขาจะเอ็นดูหนานอีอีสุดใจ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไร้หัวคิด
แม้จะรู้สึกประหลาดแลแปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่เขาไม่เห็นเคยหนานอีอีออกโรงปกป้องใครเช่นนี้มาก่อน
เจตนานี้ดูออกได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
ลั่วเหยี่ยนขมวดคิ้วเข้าหากัน
หนานอีอีเองก็ถึงวัยออกเรือนตั้งนานแล้ว แต่กลับมิเคยสนใจในเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด
บัดนี้ นางกลับชมชอบคนผู้หนึ่งอย่างหาดูได้ยาก ทว่าอีกฝ่ายกลับเป็นหรงซิวเสียได้
เรื่องสถานะยังพอไปวัดไปวา แต่…
มีใครในอาณาจักรเสิ่นซวี่ไม่รู้บ้างว่าหรงซิวเลือกชายาด้วยตนเอง หมายหมั้นด้วยกันมาตั้งนานแล้ว?
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เช่นนี้แล้วชื่อเสียงของนาง…
เดิมลั่วเหยี่ยนคิดเอ่ยวาจากับนางสักสองสามประโยค ทว่ายามเห็นท่าทีละอายใจของนางแล้วพลันรู้สึกใจเจ็บขึ้นมา คำพูดที่ติดอยู่ที่ปากกลับพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น
ไม่ว่าจะอย่างใด เด็กน้อยเติบใหญ่แล้ว อยู่ข้างนอกอย่างใดก็ควรจะไว้หน้ากันบ้าง
คำพูดพวกนี้… รอกลับไปก่อนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย!
คิดมาถึงตรงนี้ สายตาของเขาพลันเข้มขึ้น ก่อนจะเบนมองมาทางฉู่หลิวเยว่
…
อันตรายนัก!
พริบตาที่เขากวาดสายตามองมา ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที! ทั่วทั้งร่างแข็งเกร็งในทันใด!
ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้พูดอันใด นางก็ยังคงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันเฉียบคมของอีกฝ่าย!
นี่เป็นสัมผัสที่หกที่นางฝึกฝนมาจนไวต่อประสาทถึงขนาดที่มิมีสิ่งใดเปรียบหลังจากต้องเผชิญหน้าระหว่างความเป็นความตายนับครั้งไม่ถ้วน!
คิ้วของฉู่หลิวเยว่กระตุกกึก ในใจปรากฏข้อคาดเดาและความคิดวิ่งผ่านนับไม่ถ้วน
ลั่วเหยี่ยนผู้นี้… เหมือนจะมุ่งเป้ามาที่นาง?
แค่เพราะว่านาง ‘รังแก’ หนานอีอีอย่างนั้นหรือ?
นางได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเขาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ที่เขามาก็เพียงเพื่อตัวหนานอีอีเท่านั้น อีกทั้งมิได้รวมคนอื่นที่อยู่คล้อยหลังเข้าไปด้วย
ตั้งแต่ต้นจนจบ ในสายตาและหัวใจของเขาก็ดูจะมีแต่หนานอีอีจริงๆ
น่าแปลกนัก…
ผู้อาวุโสสองคนนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงหรอก
แต่มิใช่ว่าหนานอวี่สิงผู้นั้นเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลหนาน พี่ชายแท้ๆ ของหนานอีอีหรอกหรือ?
เขาบาดเจ็บสาหัสกว่าหนานอีอีมากนัก เหตุใดถึงดูเหมือนว่าลั่วเหยี่ยนผู้นี้จะไม่ได้ใส่ใจเขาเลยเล่า?
เลือกที่รักกันเช่นนี้ ออกจะ… เกินไปหน่อยกระมัง?
แท้จริงแล้วฉู่หลิวเยว่มิรู้ว่าลั่วเหยี่ยนนั้นขึ้นชื่อเรื่องเอ็นดูหนานอีอีมาก
ทั่วทั้งตระกูลหนานมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าการยั่วยุหนานอีอีก็เท่ากับล่วงเกินตัวลั่วเหยี่ยนด้วย?
แต่กับลั่วเหยี่ยนนั้นไม่ใช่
ตั้งแต่เล็กจนโต ขอเพียงหนานอีอีเอ่ยปาก ไม่ว่าคำขอแบบใดเขาล้วนสนองให้อย่างสุดกำลัง
ต่อให้หนานอีอีจะทำตัวหยิ่งยโส ก่อร่างสร้างปัญหาอยู่ไม่น้อย เขาก็ไม่เคยกล่าวตักเตือนนางจริงจังเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพียงแต่พลังของลั่วเหยี่ยนแข็งแกร่งมากนัก ตำแหน่งของเขาในตระกูลหนานเองก็สูงส่งอย่างมาก คนส่วนใหญ่จึงมิอาจทำอันใดเขาได้
พูดไปแล้ว ที่หนานอีอีถูกเลี้ยงเติบโตมาจนมีนิสัยอย่างตอนนี้ได้ ก็ต้องโทษคนที่เป็นสาเหตุหลักๆ อย่างลั่วเหยี่ยนด้วย
แต่ลั่วเหยี่ยนก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมแต่อย่างใด ก็ยังขอตอบรับคำขอร้องของหนานอีอีอยู่ดังเดิม
ต่อให้ครานี้หนานอีฝานจะเคยเตือนเขาแล้วเมื่อคราวก่อนว่ามิให้มาช่วยเป็นการส่วนตัว
แต่หลังจากได้รับข่าวจากหนานอีอี เขาก็ยังคงรีบรุดมาทันทีอยู่ดี
เพียงแต่เมื่อไตร่ตรองได้ว่าตนควรไว้หน้าหนานอีฝานบ้าง ลั่วเหยี่ยนจึงตัดสินใจจะช่วยหนานอีอีระบายความโกรธเพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยให้พวกเขาทำกันเอง
…
“คำขอของหนานอีอีง่ายดายยิ่ง ขอแค่เจ้าออกมาเผชิญความเจ็บปวดทุกรูปแบบอย่างที่นางได้รับก่อนหน้านี้ จากนั้นก็กล่าวขอขมานางเสีย เรื่องนี้ก็จะนับว่าหายกัน”
ลั่วเหยี่ยนเอ่ยอย่างราบเรียบ
ได้ยินประโยคนี้ ฉู่หลิวเยว่เกือบคิดว่าตัวเองหูฝาดไป
นางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
“อันใด?”
แววตาของลั่วเหยี่ยนเย็นยะเยือกขึ้นทันใด
“ในเมื่อได้ยินแล้วก็ทำตามเสีย เวลาของข้ามีจำกัด”
ฉู่หลิงเยว่คิดมาโดยตลอดว่าตัวเองนับว่าเป็นคนบ้าบิ่นแล้ว
แต่วันนี้นับว่านางได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
ตลอดทางมานี้ เห็นได้ชัดเลยว่าคนพวกนี้กัดไม่ปล่อย ทั้งยังเป็นฝ่ายหาเรื่องให้พวกเขาไม่หยุดหย่อนก่อน เรื่องดำเนินมาจนถึงบัดนี้ กลับรู้สึกเหมือนตัวเองเสียเปรียบอยู่ไม่น้อยกันหรือ?
เดิมนางก็หมดความอดทนกับพวกเขาอยู่แล้ว ยิ่งพอมีเรื่องขององค์ไท่จู่เข้ามา ก็ยิ่งทำให้นางหงุดหงิดงุ่นง่านมากกว่าเก่า
บัดนี้พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ย่อมเป็นการราดน้ำมันลงกองไฟอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ยิ่งนางโมโหมากเท่าไร นางก็ยิ่งมีเหตุผลมากเท่านั้น
นางเดินไปหยุดอยู่ข้างกายหรงซิว จากนั้นก็ยื่นมือไปกอดแขนหรงซิวเอาไว้
หรงซิวคว้ามือของนางมากุม สิบนิ้วประสานกันแนบแน่น
มุมปากของฉู่หลิวเยว่โค้งน้อยๆ กล่าวถามว่า
“ข้ายอมรับว่าบาดแผลบนตัวนางเป็นเพราะข้าจริงๆ เพียงแต่… เจ้าไม่สงสัยเลยหรือว่าเหตุใดข้าถึงทำกับนางแบบนั้น?”
ลั่วเหยี่ยนนิ่วหน้า
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า
“นางแย่งตัวบุรุษของข้าไปต่อหน้าข้า นางกระทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ ข้าจะมิมีสิทธิ์ตีนางเลยหรือ?”
สีหน้าของหนานอีอีขาวซีดลงฉับพลัน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำในทันที
“ซั่งกวนเยว่! เจ้า!”
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉู่หลิวเยว่จะพูดออกมาตรงๆ ได้ไม่น่าฟังเช่นนี้!
ตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่เคยถูกทำให้ขายหน้าต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน!
ลั่วเหยี่ยนเองก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน
หนานอีอีรีบตวัดสายตาไปมองเขา อธิบายอย่างรีบร้อนว่า
“ท่านอาลั่วเหยี่ยน อย่าไปฟังที่นางพูดไร้สาระ! เป็นนางใส่ร้ายข้าเองทั้งนั้น!”
“จะให้ข้าขอขมาก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ก่อนหน้านั้นคงต้องเชิญคุณหนูรองหนานขอโทษข้าสักคำก่อน เป็นอย่างใด?”