ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1688 ฝันเอาเถอะ
ตอนที่ 1688 ฝันเอาเถอะ
……….
สีหน้าของหนานอีอีสลับสีเขียวแดงกันไปมาน่าดูชมนัก
“เจ้า! เจ้าพูดจาบ้าบออันใดกัน!”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วราวกับประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“ข้าพูดผิดไปหรือ? มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าตราบใดที่สวามีเฉดหัวข้าทิ้ง เจ้าก็จะ… หรือว่าข้าหูฝาดไปกันนะ?”
“เจ้า! เจ้า!”
หนานอีอีโมโหเสียจนแทบสติหลุดอยู่รอมร่อ
จะให้ท่านอาลั่วเหยี่ยนรู้เรื่องแบบนี้เข้าได้อย่างใดกัน!
ต่อหน้าเขาแล้ว นางเป็นเด็กดีรู้ความมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งยังเชื่อฟังคำพูดเขามาโดยตลอด
ถึงบางครั้งจะชอบทำตัวเหิมเกริมเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่เคยพูดจาก้าวร้าวต่อหน้าเขามาก่อน ทั้งยังไม่เคยทำอันใดที่เป็นการล่วงเกินไปด้วย
นางรู้ว่าท่านอาผู้นี้ของตนแม้จะดูหนุ่มแน่น แต่แท้จริงแล้วก็เป็นตาแก่คนหนึ่ง
ทัศนคติต่อหลายๆ เรื่องจึงมีความหัวโบราณอย่างมาก
ตอนนี้ซั่งกวนเยว่ดันมาทำความแตกต่อหน้าเขาอีก แล้วหลังจากนี้นางควรทำอย่างใดดีเล่า!?
เป็นอย่างที่คาดไว้ ลั่วเหยี่ยนปรายตามองนางด้วยสายตาเย็นเยียบลงไม่น้อย
“อีอี เจ้าเคยพูดแบบนั้นออกไปจริงหรือ?”
ในใจหนานอีอีสั่นระรัวเร็ว
นางได้ยินท่านอาลั่วเหยี่ยนใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับตนเองแทบนับครั้งได้ จึงพลันรู้สึกกังวลระคนหวาดกลัว ในใจตีรวนวุ่นวายไปหมดโดยแท้
“ข้า ข้าไม่เคยพูดนะเจ้าคะ!”
หนานอีอีกระบอกตาแดงก่ำ สีหน้าเปี่ยมล้นด้วยความรู้สึกผิดไม่สร่าง
“ท่านอาลั่วเหยี่ยน ท่านเลี้ยงดูข้ามาจนเติบใหญ่ ข้าจะเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา ทำเรื่องพวกนั้นลงไปได้อย่างใดกัน? หรือว่าท่านเชื่อคนนอกผู้หนึ่งมากกว่าเชื่อข้าหรือเจ้าคะ?”
สายตาของลั่วเหยี่ยนวูบไหว
ที่หนานอีอีพูดมาก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว
หากอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ด้วยมีเจตนาใส่ร้ายนางจริงๆ…
เขาตวัดสายตาไปมองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโดยพลัน
หนานอวี่สิงกล่าวอย่างลนลานว่า
“ใช่แล้ว! ท่านอาลั่วเหยี่ยน อีอีถูกกล่าวหาจริงๆ ขอรับ! แม้ปกตินางจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่นางก็ยังคงยึดถือหลักการในหลายๆ เรื่อง! นางไม่เคยพูดคำพวกนั้นออกมาแม้แต่นิดเดียวขอรับ เป็นซั่งกวนเยว่ที่กุเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น!”
ลั่วเหยี่ยนจึงเบนสายตาไปมองพวกผู้อาวุโสอูเผิงทั้งสองท่าน
เห็นท่าทีของพวกเขาแล้ว ก็ดูราวกับโอนอ่อนตามเช่นกัน
เพลิงโทสะในใจของลั่วเหยี่ยนจึงอ่อนกำลังลงไปหลายส่วน
พอกวาดสายตามองไป พบว่าหนานอีอีจมูกกับตาแดงก่ำก็รู้สึกปวดใจเป็นอันมาก น้ำเสียงจึงอ่อนลงในท้ายที่สุด
“เอาล่ะ อาจะไม่เชื่อเจ้าได้อย่างใด? เลิกร้องได้แล้ว”
หนานอีอีพรูลมหายใจออกมาโดยพลัน สีหน้ากลับยังรู้สึกผิดอย่างมาก
“หลักคำสอนพวกนี้ท่านแม่เคยสั่งสอนข้ามาก่อนแล้วทั้งนั้น ข้าจะไม่ทำตามได้อย่างใดกัน? ท่านอาลั่วเหยี่ยน ท่านดูข้าผิดไปแล้วจริงๆ”
ได้ยินนางกล่าวถึงมารดา สีหน้าของลั่วเหยี่ยนพลันมืดครึ้ม สายตาที่มองนางยิ่งทวีความรักใคร่มากขึ้นไปอีก
เขาลูบศีรษะของหนานอีอีไปมา
“เอาล่ะ เป็นอาที่กล่าวหาเจ้าผิดไป วันนี้ต้องช่วยเจ้าคลายความโกรธ ไม่ยอมให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจเด็ดขาด หืม?”
หนานอีอีถึงได้ฉีกยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านอาดีกับข้าที่สุด!”
พูดจบ นางก็ทำทีว่าเผลอปรายตามองไปทางฉู่หลิวเยว่พลางแฝงด้วยแววเยาะเย้ยเต็มที่
วันนี้นางจะต้องลากซั่งกวนเยว่มาชดใช้คืนเป็นร้อยเท่าให้ได้!
…
ฉู่หลิวเยว่มองดูภาพตรงหน้าดูความตื่นตะลึงเสียจนเกือบปรบมืออย่างอดใจไม่ไหว
เคยเห็นเด็กถูกตามใจมาก็มาก แต่ไม่เห็นคนที่ถูกตามใจถึงขั้นนี้มาก่อน
มิน่านางถึงรู้สึกมาโดยตลอดว่าตรรกะความคิดของหนานอีอีไม่ปกติ รวมไปถึงคนตระกูลหนานทั้งหมดเองก็เหมือนกัน
นางพลันหมดอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกันฝั่งตรงข้ามเสียดื้อๆ
พวกเขาพูดออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่ามาเพื่อหาเรื่องนาง ไม่ว่าความจริงเป็นเช่นไร พวกเขาก็ไม่สนใจกันอยู่ดี
เป็นอย่างที่คาดไว้ จากนั้นลั่วเหยี่ยนก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“ซั่งกวนเยว่ ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะพูดอันใดก็มิอาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้ หากเจ้าไม่ยอมรับข้อเสนอเมื่อครู่ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้าแล้วกัน!”
หรือก็คือ คิดจะข่มขู่กันซึ่งหน้าอย่างนั้นสิ?
หรงซิวโคจรพลังปราณดั้งเดิมไว้ที่ฝ่ามือ ความอบอุ่นที่โอบล้อมกายเย็นเยียบลงในฉับพลัน
ฉู่หลิวเยว่คว้ามือเข้าเอาไว้เบาๆ
เวลานี้ยังไม่ใช่โอกาสอันดีที่จะลงมือ
แม้นางจะไม่กลัว แต่องค์ไท่จู่ยังคงอยู่อีกฟากของกำแพง
พวกเขายังต้องใช้พลังไปกับเรื่องที่สำคัญกว่า
สายตาของหรงซิวเบนไปมองนาง
ฉู่หลิวเยว่ขยิบตาให้เขาคราหนึ่ง
แววตาของหรงซิววูบไหว สุดท้ายก็หลุบตาลงน้อยๆ ปิดบังไว้ซึ่งคลื่นโหมกระหน่ำที่สาดซัดอยู่ในแววตา
…
“อยากให้ข้ารับข้อเสนอก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ว่าข้าก็มีเงื่อนไขของข้าเช่นกัน หากพวกเจ้ายินดีตอบรับ เช่นนั้นข้าก็ทำให้ได้ทุกอย่าง”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยพลางหัวเราะร่า
เดิมลั่วเหยี่ยนคิดว่านางต้องโกรธเกรี้ยว โมโห หรือระเบิดอารมณ์ออกมา เพียงแต่คาดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ออกมาแทน
ซั่งกวนเยว่ผู้นี้… เหมือนจะต่างจากที่คาดการณ์ไว้ทีเดียว…
สีหน้าของลั่วเหยี่ยนเย็นยะเยือกลง
“เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะพูดเรื่องพวกนี้อีกหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาะๆ สายตาจ้องมองไปยังพวกหนานอวี่สิง
“ข้ามีหรือไม่มีคุณสมบัติข้อนี้ พวกเจ้าทั้งหลายต่างก็รู้ดีที่สุดมิใช่หรือ?”
ดูแล้วพวกเขาคงยังไม่ได้บอกลั่วเหยี่ยนเรื่องที่นางจัดการสังหารบุรุษชุดดำไปเมื่อก่อนหน้านี้สินะ
คำพูดของฉู่หลิวเยว่ทำให้คนเหล่านั้นพลันรู้สึกลนลานขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
แม้ในใจจะไม่อยากยอมรับ แต่พวกเขาก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าหรงซิวและซั่งกวนเยว่ผู้นี้มีไพ่ตายลับที่ไม่ธรรมดาแอบซ่อนไว้อยู่จริงๆ
หากทั้งสองฝ่ายเข้าโรมรันกันจริงๆ… ผลลัพธ์เป็นอย่างใดก็มิอาจล่วงรู้ได้จริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อด้านหลังของนางยังมีเด็กสาวตัวเล็กผู้นั้นยืนอยู่ด้วย
ผู้อาวุโสอูเผิงชะงัก สุดท้ายก็เป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน
“เจ้ามีเงื่อนไขอันใด?”
ในใจของลั่วเหยี่ยนยิ่งทวีความประหลาดใจ
ผู้อาวุโสอูเผิงมักทะนงตัวมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับยอมรับข้อเสนอของซั่งกวนเยว่ได้ง่ายๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น?
นี่มัน…
“ง่ายมาก”
ฉู่หลิวเยว่ฉีกยิ้ม ดวงตาและหางคิ้วโค้งเรียว สีหน้าจริงใจยิ่ง
“ขอแค่เจ้าตามหาของที่เจ้าหาอยู่ให้เจอ หลังจากนั้นก็ส่งมอบแก่ข้า ข้าก็จะตอบรับข้อเรียกร้องของพวกเจ้า ทุกคนได้แลกเปลี่ยนกันอย่างยุติ…”
“เจ้าฝันไปเถอะ!”
ฉู่หลิวเยว่ยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกหนานอีอีตัดบทขึ้นมาทันควัน!
จะให้พวกนางนำของสิ่งนั้นมาแลกหรือ นางเองช่างกล้าคิดนัก!
รอยยิ้มบนดวงหน้าฉู่หลิวเยว่มิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด หากแต่น้ำเสียงกลับเย็นเยียบลงเรื่อยๆ
“เช่นนั้นขอใช้คำพูดเดียวกันนี้ส่งคืนให้พวกเจ้า”
“คิดจะบีบบังคับให้ข้าขอขมาขอความเมตตา… ข้าว่าพวกเจ้าก็ไปฝันเอาเถอะ!”
……….