ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1692 ถูกข้าสังหารแล้ว
ตอนที่ 1692 ถูกข้าสังหารแล้ว
……….
อาจารย์!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากและรีบเงยหน้าขึ้นไปมองทันที!
ระลอกคลื่นสั่นสะเทือนขึ้นท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่า
เงาร่างของชายสวมชุดคลุมสีขาวก้าวเดินออกมา!
คนผู้นั้นก็คือหนานซู่ไหว…เจ้าสำนักหลิงเซียว และเป็นอาจารย์ของนาง!
เขาสะบัดแขนเสื้อ พลังปราณดั้งเดิมอันทรงพลังพุ่งออกไป! แล้วพุ่งตรงไปยังลั่วเหยี่ยน!
อันตราย!
ลั่วเหยี่ยนตกใจอย่างมาก และรีบถอนการโจมตีพร้อมหลบเลี่ยงไปด้านหลัง!
แต่พลังการโจมตีของหนานซู่ไหวน่าตกใจมากเกินไป แล้วยังทำให้เขารู้สึกแน่นหน้าอก เงาร่างซวนเซไป!
แทบจะในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสอูเผิงก็พ่ายแพ้ต่อหรงซิว เขาได้รับการโจมตีที่รุนแรง ตัวลอยกระเด็นออกไป ก่อนจะกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง!
ผู้อาวุโสไป๋ถงที่ต่อสู้พัวพันกับฉู่หนิงอยู่ตลอด เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวทางนี้ เขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และรีบถอยร่นลงไปทันที
“อาลั่วเหยี่ยน! ผู้อาวุโสอูเผิง!”
เมื่อเห็นคนของฝ่ายตัวเองถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง หนานอีอีก็ไม่สามารถรักษารอยยิ้มไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงรีบพุ่งตัวขึ้นมา
หนานอวี่สิงอ้าปากค้าง ไม่ได้พูดอันใด แต่ความไม่สบายใจกลับพลุ่งพล่านมากยิ่งขึ้น
เงาร่างของหนานซู่ไหววูบไหว ก่อนจะมายืนขวางหน้าฉู่หลิวเยว่เอาไว้
หรงซิวก้าวเท้าพลาดเล็กน้อย แต่ก็มีฉู่หลิวเยว่คอยประคองอยู่
หนานซู่ไหวหันกลับมามอง พร้อมใช้สายตาสำรวจตัวนางอย่างเป็นกังวล
“นังหนูเยว่เออร์ เจ้าเป็นอย่างใดบ้าง?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“อาจารย์โปรดวางใจ ข้าไม่ได้เป็นอันใด”
เพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น ไม่ได้สาหัส
ลั่วเหยี่ยนยังไม่ทันได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยม แต่อาจารย์ก็มาเสียก่อน
หรงซิวมีสีหน้าเย็นชา เขายื่นมือไปลูบที่ลำคอของฉู่หลิวเยว่
“โอ๊ย…”
ความเจ็บปวดแผ่เข้าสู่ร่างอย่างฉับพลันทำให้ฉู่หลิวเยว่ต้องหดคอลง
ทันใดนั้นก็สามารถสัมผัสได้ว่าลมหายใจของหรงซิวเย็นลงอีก ฉู่หลิวเยว่จึงรีบพูดขึ้นว่า
“บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นไร”
เมื่อครู่นี้ทั้งสองฝ่ายเพิ่งประมือกันไป บนลำคอของนางจึงมีรอยจ้ำสีแดงช้ำอยู่หลายรอย
และนางก็รีบร้อนมากเกินไปจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
หรงซิวไม่ได้พูดอันใด แต่เมื่อมองบาดแผลนั้น ดวงตาของเขาก็มืดครึ้มลง
ฉู่หนิงและถวนจื่อก็รีบติดตามมาในทันที
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะตกอยู่ในสถานการณ์น่ากลัว แต่ไม่มีอันตรายใดๆ แต่ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ พวกเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ลั่วเหยี่ยนลงมืออย่างโหดเหี้ยมจริงๆ!
ถ้าไม่ใช่เพราะหนานซู่ไหวมาได้ทันเวลาพอดี ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่จะเป็นอย่างใดบ้างก็ไม่มีใครทราบได้
…
หนานซู่ไหวสีหน้าเย็นชาลงหลายส่วน จากนั้นก็หันกลับไปมองลั่วเหยี่ยนและหัวเราะเสียงเย็น
“ลั่วเหยี่ยน ไม่ได้เจอกันหลายปีเชียวนะ ฝีมือของเจ้านั้นแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะมารังแกลูกศิษย์ของผู้เฒ่าอย่างข้า!”
น้ำเสียงของเขาดังกังวานราวกับเสียงฟ้าผ่า คำพูดแต่ละคำแฝงด้วยแรงกดดันที่รุนแรง เสียงนั้นกระทบเข้าที่โสตประสาทของลั่วเหยี่ยนและคนอื่นๆ
หนานอวี่สิงและหนานอีอีที่อยู่ในระดับต่ำกว่าก็ต้องตัวสั่นสะท้าน และกระอักเลือดออกมา!
ร่างกายของผู้อาวุโสไป๋ถงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในตอนนี้จึงไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ เมื่อเขาได้รับแรงกดดันที่น่าหวาดกลัวนี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดขาวไปในทันที
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้อาวุโสอูเผิง
ก่อนหน้านี้เขาถูกหรงซิวทำร้ายจนบาดเจ็บเต็มตัว แม้กระทั่งแรงจะลุกขึ้นมายังไม่มีเลย
แม้ว่าลั่วเหยี่ยนจะดีกว่าพวกเขาเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ของฝั่งตนเอง สีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ลงอย่างมาก
คาดไม่ถึงว่าหนานซู่ไหวจะมาที่นี่ด้วย…
ทุกคนภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ล้วนรู้ดีว่า หนานซู่ไหวเป็นคนมีความสามารถรอบด้านที่หาได้ยาก อีกทั้งการบำเพ็ญเพียรในแต่ละด้านก็โดดเด่นเป็นอย่างมาก
เขาสามารถทะลวงด่านเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว
แม้ว่าช่วงนี้หนานซู่ไหวจะเก็บตัวมาก ไม่ค่อยได้เปิดเผยตัวตนภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ แต่ลั่วเหยี่ยนก็ไม่กล้าที่จะประมาทเขา
ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้หนานซู่ไหวแข็งแกร่งขนาดไหนกันแล้ว?
ดูจากการโจมตีเมื่อครู่นี้เพียงอย่างเดียว ระดับจะต้องเหนือกว่าเขาอย่างแน่นอน!
นั่นจึงเป็นเรื่องยากแล้ว…
แม้ว่าจำนวนคนของทั้งสองฝ่ายจะเท่าๆ กัน แต่ฝั่งพวกเขาคนที่สามารถจะสู้ต่อไปได้ แทบจะไม่มี
ในทางกลับกัน อีกฝ่ายยังมีเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อไปได้อีก
หากจะต้องให้สู้อย่างสุดกำลัง… คนที่เสียเปรียบจะต้องไปฝ่ายพวกเขาแน่นอน!
ลั่วเหยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ และระงับเพลิงโกรธที่อยู่ในใจ ก่อนจะประสานหมัดทำความเคารพหนานซู่ไหว
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าสำนักหนาน เสียมารยาทแล้ว เรื่องเมื่อครู่นี้ข้าว่าเจ้าสำนักหนานน่าจะเข้าใจผิดไป ความจริงแล้วข้าไม่ได้มีเจตนาแอบแฝง เพียงแต่ก่อนหน้านี้พวกเด็กๆ เกิดการทะเลาะเบาะแว้งเล็กน้อยกัน ข้าจึงอยากจะแยกพวกเขาออกจากกันเท่านั้นเอง”
หนานซู่ไหวอาวุโสกว่าเขา อีกทั้งยังทะลวงด่านเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เร็วกว่าเขา ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าหนานซู่ไหว แม้กระทั่งคำพูดยกย่องตนเองเขาก็ไม่ได้พูดออกมา
น่าเสียดายที่หนานซู่ไหวกลับหัวเราะเยาะคำพูดของเขา
“ลั่วเหยี่ยน เจ้าคิดว่าข้าแก่แล้วและสายตาไม่ดีอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้ารังแกนังหนูเยว่เออร์อย่างใด ผู้เฒ่าอย่างข้ามองเห็นอย่างชัดเจนแล้ว! เข้าใจผิด…คำพูดนี้ เจ้าได้ยินเองและไม่คิดว่ามันน่าขำหรอกหรือ?”
คำพูดคำแรกที่หนานซู่ไหวพูดออกมาก็เป็นการเยาะเย้ยถากถางทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะไว้หน้าลั่วเหยี่ยน
ลั่วเหยี่ยนหน้าดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าสำนักหนาน ข้าอธิบายกับท่านดีๆ แต่ท่านกลับไม่ไว้ไมตรีกันเลย แบบนี้จะเกินไปหน่อยหรือไม่?”
“เรื่องที่ปั้นน้ำเป็นตัว เรื่องที่เจ้ารังแกผู้คนจริงๆ เรื่องนี้ยังจะต้องมาพูดกันคุยกันอีกหรือ?”
หนานซู่ไหวหัวเราะเสียงเย็น
“นั่นหมายความว่าเจ้าที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่ง คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะลงมือกับผู้เยาว์ได้อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ หากข่าวลือนี้แพร่กระจายออกไป ลั่วเหยี่ยน ใบหน้าของเจ้านี้ เจ้าจะเอาไปวางไว้ที่ไหนหรือ?”
“เจ้า”
ลั่วเหยี่ยนหน้าซีดขาวยิ่งกว่าเดิม แต่ในตอนนั้นเขากลับเถียงอันใดไม่ออกเลยแม้สักคำเดียว
เดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เขาเพียงแค่อยากจะช่วยหนานอีอีระบายความโกรธ
แต่ใครจะรู้เล่าว่าซั่งกวนเยว่จะมีท่าทีแข็งกระด้างและดื้อรั้น เขาจึงจำเป็นต้องลงมือ
และทำให้หนานซู่ไหวมาเห็นเข้าพอดี
หนานซู่ไหวผู้นี้ เป็นบุคคลที่มีอำนาจในอาณาจักรเสิ่นซวี่มาหลายปีแล้ว อีกทั้งยังเป็นเจ้าสำนักหลิงเซียว เขาเจอคนที่มีพรสวรรค์มามากมาย แต่ก็รับศิษย์เพียงคนเดียว
แค่คิดก็รู้ได้ทันทีแล้วว่า เขาเป็นคนที่เรื่องมากขนาดไหน
อีกทั้งคนผู้นี้ยังมีชื่อเสียงด้านให้ท้ายคนของตนเองด้วย
แม้กระทั่งพวกเขาที่ไม่เคยติดต่อกับสำนักหลิงเซียวมาก่อนก็ยังเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าหนานซู่ไหวจะต้องกัดไม่ปล่อยอย่างแน่นอน!
“เจ้าสำนักหนาน ในเมื่อท่านมาก็ดีแล้ว แค้นของพวกเราก่อนหน้านี้ก็ชำระพร้อมกันไปเลย!”
ลั่วเหยี่ยนยกมือขึ้นแล้วชี้ไปทางหนานอีอีกับคนอื่นๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นว่า
“ลูกศิษย์ที่รักของท่านทำร้ายคนของพวกเราจนเป็นเช่นนี้ จนกระทั่งตอนนี้คำขอโทษสักคำก็ยังไม่มีให้! เรื่องนี้ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักหนานจะมองว่าอย่างใด?”
หนานซู่ไหวกวาดสายตามองไปยังร่างกายของคนเหล่านั้น จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วหันมาทางฉู่หลิวเยว่
“นังหนูเยว่เออร์ เจ้าเป็นคนทำพวกเขาหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ครึ่งหนึ่งละมั้งเจ้าค่ะ”
หนานซู่ไหวชะงักไปเล็กน้อย
“อันใดที่เรียกว่าครึ่งหนึ่ง?”
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วพูดอย่างเชื่องช้าว่า
“ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะพวกเขายั่วโทสะพวกเราก่อนจึงเป็นเช่นนี้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง… พวกเขาโชคร้ายเองที่ดันไปยั่วโทสะผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์อีกคนหนึ่ง”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของลั่วเหยี่ยนก็เปลี่ยนสีไปเป็นคนแรก
เขารีบหันไปมองทางหนานอีอี
“ก่อนหน้านี้เจ้าเจอผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์อีกคนหนึ่งหรือ? เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่พูดเรื่องนี้ล่ะ?”
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อกรได้ยากมากแค่ไหน พวกเขาไม่มีทางไม่รู้
แม้ว่าผู้อาวุโสอูเผิงและผู้อาวุโสไป๋ถงจะมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย แต่คนหนึ่งคือช่างหลอมอาวุธ ส่วนอีกคนคือเซียนหมอ หากสู้กันแล้วพวกเขาก็ยังไม่ใช่ผู้ต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์
หนานอีอีมีสีหน้าลังเล เหมือนกับกำลังสับสนอันใดบางอย่างอยู่
“ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์คนนั้นมีความเป็นมาอย่างใด พวกเจ้ารู้หรือไม่?”
ไม่ว่าอย่างใดแค้นนี้ ก็จะต้องชำระให้ได้!
“หึๆ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกเสียงมาอย่างกะทันหัน
“ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์คนนั้นถูกข้าสังหารไปแล้ว ต่อให้ท่านไปหา ก็หาไม่เจอหรอก ช่างมันไปเถอะ”
……….