ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1700 ขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 1700 ขอความช่วยเหลือ
……….
เมื่อเห็นดังนั้น หนานอีฝานก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ค่อยยังชั่ว…
ที่แห่งนี้ได้กักเก็บลมปราณของหนานอีอีและคนอื่นๆ เอาไว้
ถ้าเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขา จี้หยกนี้จะส่งปฏิกิริยาขึ้นมาในทันที
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เหมือนว่าทั้งสี่คนน่าจะยังมีชีวิตอยู่
แต่…เหตุใดถึงขาดการติดต่อไปอย่างกะทันหัน?
หนานอีฝานมีแค่ลูกชายหนึ่งคน ลูกสาวหนึ่งคน ดังนั้นเขาจึงรักลูกๆ อย่างมาก
และหนานอีฝานเตรียมหาหนทางมากมาย เพื่อที่จะได้ติดต่อกับพวกเขาได้ทุกที่และตลอดเวลา
แต่ในตอนนี้กลับขาดการติดต่ออย่างกะทันหัน!
แล้วเขาจะไม่กังวลได้อย่างใด?
“ลุงตาน นี่จะต้องเกิดเรื่องกับพวกเขาแน่นอน!”
หนานอีฝานพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
ชายชราที่ถูกเรียกว่าลุงตานก็ขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
“ทางด้านคุณชายใหญ่ล่ะ? ท่าน…”
ใบหน้าของหนานอีฝานดำคล้ำขึ้น
“ติดต่อเขาไม่ได้เช่นกัน”
ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็ เขาคงไม่กระวนกระวายเช่นนี้
ลุงตานคิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะร้ายแรงขนาดนี้ ดังนั้นจึงรีบโน้มน้าวว่า
“ท่านประมุข ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน ท่านก็เห็นว่าพวกเขายังอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ส่วนสาเหตุที่ทำให้ติดต่อไม่ได้ บ่าวจะรีบไปตรวจสอบทันที!”
เมื่อพูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไป
หนานอีฝานเก็บจี้หยกนั้นลง แล้วพูดกัดฟันว่า
“ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว จะต้องเกิดเรื่องที่สุสานสังหารเทพอย่างแน่นอน!”
นอกจากเรื่องนี้ เขาก็คิดหาสาเหตุอื่นไม่เจอ!
เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไปด้านนอกโดยไม่ลังเล
“ข้าจะไปสุสานสังหารเทพด้วยตนเอง!”
ลุงตานรู้สึกตกใจอย่างมาก
“ท่านประมุข ที่ท่านจะไปในครั้งนี้มันจะกะทันหันเกินไปหรือไม่? ภายในตระกูล…”
“ไม่มีเวลาแล้ว”
หนานอีฝานชะงักฝีเท้า แต่ใบหน้ากลับย่ำแย่มากขึ้นกว่าเดิม
“ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาประสบปัญหาใดๆ ก็ไม่เคยเกิดสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้พวกเขาจะต้องเจออันตรายอย่างมากแน่นอน! สุสานสังหารเทพเป็นสถานที่แบบใด? หากไปไม่ทัน เกรงว่ามันจะสายเกินไป!”
ลุงตานอยากจะพูดอันใดบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
ความจริงแล้วเขาก็เป็นห่วงสถานการณ์ของคนเหล่านั้น
แต่การเดินทางไปในครั้งนี้ คนในตระกูลส่วนใหญ่ไม่ทราบเรื่องนี้
ถ้าท่านประมุขเดินทางไปแล้ว ข่าวนี้จะต้องแพร่กระจายออกไปอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่า…
“ลุงตาน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเล็กคิดน้อยถึงเรื่องเหล่านั้น! หากเกิดเรื่องขึ้นกับหนานอวี่สิงและหนานอีอีจริงๆ ละก็…”
คำพูดที่เหลือหนานอีฝานไม่ได้พูดออกมา
แต่สีหน้าของเขาก็ได้อธิบายออกมาทั้งหมดแล้ว
ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ขอเพียงแค่คนเหล่านั้นไม่เป็นอันใด ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
แต่ถ้าไม่มีคนเหล่านั้นแล้ว…ก็ไม่เหลืออันใดสักอย่าง!
เมื่อถึงตอนนั้นไม่มีโอกาสที่จะเสียใจหรือแก้ไขด้วยซ้ำ!
ลุงตานตกใจอย่างมาก แล้วรีบก้มหัวลงต่ำ
“ท่านประมุขพูดได้ถูกต้อง เป็นบ่าวที่เลอะเลือนเอง!”
หนานอีฝานโบกมือ
“ข้ารู้ว่าท่านต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสุสานสังหารเทพ ข้าจึงไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป”
เขาครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วพูดว่า
“ท่านไปเชิญลั่วเหยี่ยนและคนอื่นๆ ให้เดินทางไปพร้อมกันเถอะ”
ลุงตานชะงักไปเล็กน้อย และรีบโค้งคำนับทำความเคารพ
“ขอรับ”
แม้กระทั่งผู้อาวุโสไป๋ถงและผู้อาวุโสอูเผิงร่วมเดินทางไปด้วย ยังเกิดเรื่องขึ้นได้ เกรงว่าสถานการณ์ของฝั่งนั้นจะต้องซับซ้อนมากกว่าที่คิดแน่นอน
เดินทางไปหลายคนจะต้องปลอดภัยมากกว่าแน่นอน
ลุงตานเปิดประตูเดินออกไป เงาร่างนั้นหายไปจากครรลองสายตาอย่างรวดเร็ว
หนานอีฝานเดินกลับมาสองสามก้าว และรอคอยอย่างร้อนใจ
เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป
พวกเขาจึงไม่สามารถส่งข้อความขอความช่วยเหลือได้ แล้วทำให้…
พวกเขาพบเจอกับสถานการณ์แบบใดกันแน่?
หนานอีฝานไม่กล้าคิดมาก
ข่าวลือเกี่ยวกับสุสานสังหารเทพมีออกมาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้เขาเคยไปที่นั่นสองครั้ง สถานการณ์อันตรายแต่เขาไม่ได้เป็นอันใด ดังนั้นเขาจึงคิดมาตลอดว่า สุสานสังหารเทพก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างข่าวลือ
แต่จนกระทั่งครั้งนี้…
เขาเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
ส่งผู้อาวุโสไป๋ถงและผู้อาวุโสอูเผิงไปเพียงแค่สองคน มันอันตรายเกินไปจริงๆ
หากรู้เช่นนี้…
แต่บนโลกนี้ไม่มียาแก้ความเสียใจภายหลัง
สิ่งหนึ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้ นั่นก็คือภาวนาว่าก่อนที่เขาจะไปถึง ขอให้ทุกคนปลอดภัยและอย่าเพิ่งเกิดเหตุร้ายแรง
หลังจากนั้นไม่นาน ลุงตานก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับคนสองสามคน
หนานอีฝานรีบกวาดสายตามองโดยรอบ และชะงักไปเล็กน้อย
“ลั่วเหยี่ยนล่ะ?”
ทั่วทั้งตระกูลหนาน ฝีมือการต่อสู้ของลั่วเหยี่ยนอยู่ในห้าอันดับแรก อีกทั้งเขาก็รักและเอ็นดูหนานอีอีเป็นพิเศษ ดังนั้นคนแรกที่หนานอีฝานนึกถึงก็คือลั่วเหยี่ยน
สีหน้าของลุงตานหมองหม่นลงไปเล็กน้อย
“ลั่วเหยี่ยนไม่อยู่ขอรับ”
“ไม่อยู่? ปกติแล้วเขาจะตั้งใจบำเพ็ญเพียรฝึกซ้อมอยู่เสมอ น้อยครั้งมากที่จะออกจากสำนัก แล้วเหตุใดเขาถึงไม่อยู่ที่นี่ล่ะ? เขา…”
ทันใดนั้นเสียงของหนานอีฝานก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
เรื่องที่สามารถทำให้ลั่วเหยี่ยนจากไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียงได้ น่าจะมีเพียงเหตุผลนั้น
หรือว่า…
เหมือนลุงตานเห็นว่าเขาสามารถคาดเดาได้แล้วจึงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
“เขาน่าจะเดินทางไปสุสานสังหารเทพก่อนหน้านี้แล้ว”
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วย!
ในตอนนั้นเองจิตใจของหนานอีฝานก็เหมือนจะสับสนมากกว่าเดิม
ลั่วเหยี่ยนไปแล้ว ตามหลักการแล้วอีอีและคนอื่นน่าจะได้รับตัวช่วยที่ยิ่งใหญ่
แล้วยังจะเกิดเรื่องขึ้นได้อย่างใด?
อีกทั้งดูจากเวลาที่ผ่านมา เหมือนว่าพวกเขาจะเกิดเรื่องขึ้นหลังจากที่ลั่วเหยี่ยนไปถึงด้วย!
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้หนานอีฝานรู้สึกเป็นกังวลมากกว่าเดิม
เขารีบระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน พร้อมออกเดินทางอย่างไม่ลังเลอีกแล้ว!
“ลุงตาน ท่านอยู่จัดการดูแลเรื่องภายในตระกูล ส่วนคนอื่นๆ ตามข้ามา!”
ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม อีอีและคนอื่นๆ จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย!
…
ตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
ภายในตำหนัก อี้เจานั่งอยู่ตำแหน่งด้านบนสุด ผู้อาวุโสทั้งหลายแบ่งกันยืนอยู่สองฝากฝั่ง
ผู้อาวุโสสูงสุดห้าคน วันนี้มาเพียงสี่คนเท่านั้น
ผู้อาวุโสอี้กงไม่ได้อยู่ที่นี่
อี้เจาเหลือบสายตามองตำแหน่งที่ว่างเปล่า
“วันนี้อี้กงก็ยังไม่มาหรือ?”
ผู้อาวุโสอี้เจี่ยวมีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบรับเสียงต่ำ
“ขอรับ หลังจากที่เกิดเรื่องของอี้หราน ผู้อาวุโสก็เสียใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ไม่สามารถปรับอารมณ์ได้เลย”
คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้มีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
เขาเสียใจต่ออี้หรานที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเขาเสียใจที่ความพยายามหลายปีที่ผ่านมาของเขานั้นสูญเปล่า!
เขาเลี้ยงดูอี้หรานมาหลายปี ไม่รู้ว่าใช้ความเพียรพยายามมามากขนาดไหน
เมื่อเผชิญหน้ากับผลลัพธ์เช่นนี้ เขาจะรับได้ได้อย่างใด?
อี้เจาขี้เกียจจะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ จึงพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขาพักผ่อนไปเถอะ”
ไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่มาก็ไม่ได้ส่งผลกระทบเท่าไรนัก
หลังจากนั้นคนที่เหลือก็รายงานสถานการณ์และสรุปเรื่องราวในเผ่าตามปกติ
ส่วนอี้เจา…ตัดสินใจได้แล้ว
ความจริงแล้วหลังจากงานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษเสร็จสิ้น ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อันใด
“ช่วงนี้เด็กๆ ที่อยู่ในเผ่าของพวกเราขยันฝึกซ้อมกันมากขึ้น” ผู้อาวุโสอี้ซังหัวเราะแล้วกล่าวว่า “น่าจะเป็นเพราะในงานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ พวกเขาได้รับแรงกระตุ้นจากถวนจื่อ”
เมื่อพูดถึงถวนจื่อ ใบหน้าที่เหมือนภูเขาน้ำแข็งของอี้เจาก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ถวนจื่ออายุน้อยกว่าพวกเขามาก แต่ฝีมือกับแข็งแกร่งกว่าไม่น้อย เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้สึกอันใด การที่มีใจจะไล่ตามก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่”
แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าถวนจื่อจะกลับมาเมื่อใด
ทันใดนั้นกลางท้องพระโรงก็มีขนนกสีทองคำชาดก้านหนึ่งลอยอยู่
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะลุกพรวดขึ้น!
……….