ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1701 ความทุกข์ระทม
ตอนที่ 1701 ความทุกข์ระทม
……….
ขนนกเส้นนั้นลากเส้นเป็นตัวอักษรขึ้นกลางอากาศที่ว่างเปล่า
“ท่านปู่ประมุข รีบมาช่วยข้ากับอาเยว่ที!”
หลังจากมองเห็นตัวอักษรเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนแล้ว รูม่านตาของอี้เจาก็หดเล็กลง!
ผ่านไปไม่นานตัวอักษรเหล่านั้นก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีทองคำชาดแล้วหายขึ้นไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ขนนกอันนั้นก็ถูกทำลายไปด้วยเช่นเดียวกัน
คนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างตกใจกันไปทั้งหมด
“นี่มัน…ถวนจื่อขอความช่วยเหลือมาหรือ?”
ผู้อาวุโสอี้ซังถามขึ้นอย่างไม่มั่นใจ
อี้เจามีใบหน้ามืดครึ้ม
“ถูกต้อง!”
สามารถขอความช่วยเหลือจากระยะไกลเป็นหมื่นลี้ได้ นอกจากถวนจื่อแล้ว ยังจะมีใครได้อีก?
“ดูเหมือนว่าทางพวกนางจะเกิดเรื่องแล้ว”
ถ้าไม่ถูกบีบบังคับให้อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ถวนจื่อไม่มีทางที่จะมาขอความช่วยเหลือจากพวกเขาเด็ดขาด
ผู้อาวุโสอี้อวี่ลุกขึ้นยืน พร้อมจัดปกคอเสื้อ แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“หายากมากที่ถวนจื่อจะเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือมาเอง แน่นอนว่าข้าจะต้องสนับสนุนแล้ว ท่านประมุข ข้าจะไปดูสักหน่อยเป็นอย่างใด?”
ถวนจื่อเปิดชีพจรที่สี่แล้ว และในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในห้าผู้อาวุโส การที่จะตามหาถวนจื่อก็เป็นเรื่องง่ายดายมาก
อี้เจาพยักหน้า
“หลังจากที่พวกเขาออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง เหมือนว่าจะตรงไปที่สุสานสังหารเทพทันที เจ้าตามไปดูหน่อยก็ได้”
ผู้อาวุโสอี้อวี่พยักหน้า เขาเพิ่งสาวเท้าออกมาหนึ่งก้าว แต่ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน
“ท่านประมุข นายน้อยขอความช่วยเหลือมา พวกเราส่งคนไปเพิ่มขึ้นอีกสองสามคนจะดีหรือไม่?”
สุสานสังหารเทพนั้นอันตรายอย่างมาก เขาไม่กล้ารับประกันว่า ตนเองจะสามารถพาพวกนางกลับมาได้อย่างปลอดภัย
อี้เจาเม้มริมฝีปาก แต่กลับไม่ได้พูดอันใด เหมือนกำลังลังเลอันใดบางอย่างอยู่
ผู้อาวุโสที่เหลือต่างมองหน้ากันไปมา
เรื่องนี้มีอันใดให้น่าลังเลกัน?
ท่านประมุขกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่?
ผู้อาวุโสอี้ซังก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า
“อี้อวี่ เจ้าจัดการเรื่องหุบเขาเฟิ่งหวงไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้ข้าจะไปเอง”
เขาเป็นผู้อาวุโสรอง ฝีมือก็เหนือกว่าผู้อาวุโสอี้อวี่ที่เป็นผู้อาวุโสห้าหนึ่งขั้น
“นอกจากเรื่องนี้แล้ว ข้าก็จะไปหา…”
“ผู้อาวุโสรอง อย่าเลยขอรับ!”
ผู้อาวุโสอี้อวี่ลูบคางของตนเอง แล้วทอดถอนหายใจพูดว่า
“ความจริงแล้วทางด้านหุบเขาเฟิ่งหวงข้าก็จัดการเสร็จสิ้นไปแล้วหลายเรื่อง หากข้าไปในตอนนี้ก็จะไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดมากนัก แล้วอีกอย่างโอกาสที่จะได้กระชับความสัมพันธ์กับถวนจื่อนั้นหาได้ยากมาก! หากพลาดครั้งนี้ไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าครั้งหน้าจะมาถึงเมื่อใด? ท่านอย่ามาแย่งข้าสิขอรับ?”
เขาเป็นผู้อาวุโสห้าที่มีอายุน้อยที่สุด ไม่ว่าจะพูดหรือทำอันใดก็ตรงไปตรงมาอยู่เสมอ หลังจากระยะเวลานานไป ทุกคนก็เคยชินกับเรื่องเหล่านี้แล้ว
ผู้อาวุโสอี้ซังหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“แต่จะให้เจ้าเดินทางไปเพียงคนเดียวน่ะหรือ? เช่นนั้น…”
เขายังพูดไม่ทันจบ อี้เจาก็พูดแทรกขึ้น
“ข้าจะไปกับเขา”
ทันทีที่สิ้นเสียง ภายในท้องพระโรงก็ปกคลุมด้วยความเงียบ
ผู้อาวุโสหลายท่านต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขาไม่คิดว่าท่านประมุขจะเดินทางไปด้วยตนเอง
ผู้อาวุโสอี้ซังชะงักไปเล็กน้อย และถามขึ้นมาอย่างลังเลว่า
“ท่านประมุข ท่านจะไปด้วยตนเองจริงหรือ?”
ในสถานการณ์ทั่วไป หากไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ น้อยครั้งมากที่อี้เจาจะออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นประมุข ทุกคำพูดทุกการกระทำมักส่งผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่
อี้เจาพยักหน้าอย่างไม่แสดงอารมณ์
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ข้าจะเดินทางไปพร้อมกับอี้อวี่น่าจะปลอดภัยกว่า”
เขาสั่งการเด็ดขาดอยู่เสมอ และท่าทางของเขาในตอนนี้ดูหนักแน่นเป็นอย่างมาก ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้ก็ไม่ได้ห้ามปรามเขาต่อไป
…ท้ายที่สุดแล้วถวนจื่อก็เป็นนายน้อย อีกทั้งยังได้รับการแต่งตั้งจากบรรพบุรุษ ไม่ว่าอย่างใดพวกเขาก็จะต้องปกป้องนางให้ดีที่สุด
อี้เจาเดินทางไปด้วยตัวเอง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องผิด
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว อี้เจาและผู้อาวุโสอี้อวี่ก็ออกเดินทางโดยไม่ลังเล มุ่งหน้าตรงไปยังสุสานสังหารเทพ!
…
แน่นอนว่าตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ไม่รับรู้เรื่องราวโลกภายนอกเลย
ท่ามกลางมิติที่ดำมืด มีเพียงลำแสงที่ส่องจากบนท้องฟ้าเท่านั้นที่เป็นแสงสว่าง
ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิ ในมือถือกระดาษโปร่งแสงอยู่แผ่นหนึ่ง
บนกระดาษแผ่นนั้นมีแสงสะท้อนส่องประกายงดงาม
อย่างใดก็ตามสำหรับฉู่หลิวเยว่ นางไม่มีแก่ใจที่จะชื่นชมเลย
ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองไปที่กระดาษโปร่งแสงเหล่านั้นตาเขม็ง เพราะมองหาจุดสังเกตและการโคจรอย่างระมัดระวัง เพราะนางกลัวว่าจะพลาดอันใดไป
ในขณะเดียวกันนั้นเอง พลังปราณดั้งเดิมรอบกายนางก็ยังถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว
หัวคิ้วของนางขมวดแน่นขึ้น ริมฝีปากซีดขาว ใบหน้าซูบเซียว
แต่นางยังคงจับกระดาษที่อยู่ในมือแน่น ไม่กล้าหลับตาพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย
บนพื้นรอบกายนางเต็มไปด้วยกระดาษที่วางระเกะระกะกระจัดกระจาย
แม้ว่ามันจะโปร่งแสง แต่ด้านบนกลับไม่มีลำแสงที่กระจายออกมาเลย อีกทั้งแต่ละแผ่นยังแตกกระจาย เหมือนว่ามันเป็นของปลอม
…นั่นเป็นกระดาษที่ฉู่หลิวเยว่อ่านมาแล้ว
ของปลอม
พวกมันล้วนเป็นของปลอม
ในกระดาษนับหมื่นแผ่น มีเพียงแผ่นเดียวที่เป็นของจริง ตอนนี้นางเพิ่งดูไปได้แค่ร้อยสิบแผ่นเท่านั้น จะสามารถหาแผ่นจริงเจอได้อย่างง่ายดายได้อย่างใด?
นางตั้งใจศึกษาบทเพลงฉินแต่ละตัว โดยแทบไม่รู้ถึงเวลาที่ไหลผ่านไปเลย
มีเพียงแค่ความเจ็บปวดและบีบรัดบนร่างกายของนางเท่านั้นที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันคอยย้ำเตือนนางอยู่ทุกเวลานาที ว่าเวลากำลังผ่านไปอย่างรวดเร็ว!
สิ่งเดียวที่ทำให้นางมีความสุขขึ้นมา คือความเร็วในการอ่านของนางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้คือสามวันหนึ่งแผ่น ตอนนี้…
สองวันครึ่งหนึ่งแผ่น
แต่ความสุขนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน
เพราะนอกจากฉู่หลิวเยว่จะตรวจสอบว่าเนื้อเพลงแผ่นไหนของจริงหรือของปลอม นางจะต้องทนรับการทดสอบจากเสียงฉินด้วย!
ตั้งแต่ที่อาจิ่งเริ่มเล่นฉิน จิตสังหารอันน่าหวาดกลัวก็ปกคลุมทั่วร่างของฉู่หลิวเยว่!
บทเพลงนี้แทบจะไม่สามารถทำให้นางพักผ่อนได้เลย ตั้งแต่ต้นจนจบเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ดุเดือด จิตสังหารเข้มข้น!
ภายในชั่วพริบตาฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกว่าตนเองอยู่ในฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาล!
ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆดำรวมตัว พายุคำราม!
ดินแดนรกร้างว่างเปล่าไกลสุดลูกหูลูกตา คนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังฆ่าฟันกัน!
เสียงตะโกนกึกก้อง กระแสเสียงน่าหวั่นใจ!
เมื่อกวาดสายตาไปมองรอบๆ ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยหยาดเลือด ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยซากศพแข็ง ทุกบริเวณเต็มไปด้วยความหนาวเย็น ราวกับนรกบนดิน!
นางได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งน่าสะอิดสะเอียนจนทำให้ผู้คนรู้สึกอยากจะอาเจียน
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นสงครามการนองเลือดมาก่อน นางยังเคยต่อสู้ในสนามรบ ระหว่างคมกระบี่และเงาดาบ และนางสังหารผู้คนไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นซากศพเกลื่อนเต็มบริเวณ
และเมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์เหล่านั้นกับภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางอย่างต่อเนื่องนั้น มันไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย
นางอยากจะสะบัดภาพเหตุการณ์เหล่านี้ออกจากสมอง แต่กลับไม่สามารถทำได้
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะบทเพลงเหล่านั้น!
นางจึงทำได้เพียงยอมรับมัน อีกทั้งยังบังคับให้ตนเองมีสมาธิจดจ้องฟังเนื้อเพลงเหล่านั้นให้ละเอียด!
สำหรับฉู่หลิวเยว่แล้ว นี่เป็นเรื่องทุกข์ทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย
ร่างทั้งร่างของนางเหมือนถูกตัดแบ่งครึ่งเป็นสองส่วน
ส่วนหนึ่งกำลังตั้งใจดูเนื้อเพลงในมือ ส่วนอีกส่วนหนึ่งกำลังประสบกับกลิ่นคาวเลือดที่น่าหวาดกลัว
ในที่สุดเลือดสีแดงก็ไหลออกมาจากมุมปากของนางอย่างเชื่องช้า
ติ๊ง ก่อนจะหยดลงที่หลังฝ่ามือ