ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1705 ถูกกักขัง
ตอนที่ 1705 ถูกกักขัง
………………..
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างไร้เสียง
ฉู่หลิวเยว่กำเนื้อเพลงฉินโปร่งแสงในมือแน่น
ลำแสงด้านบนนั้นส่องประกายสว่างสดใส จนเกือบจะทำให้นางตาลาย
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ นางไม่ได้หยุดพักเลย นางค่อยๆ อ่านไปทีละหน้า
พลังปราณดั้งเดิมภายในถูกใช้ไปในขั้นตอนนี้อย่างรวดเร็ว
แต่ทุกครั้งที่พลังลมปราณดั้งเดิมหมดลง กระดาษแผ่นนั้นที่อยู่ภายในตันเถียนก็จะไหลออกมามากกว่าเดิม และถ่ายเทเข้าสู่แขนขาทั้งสี่ข้างของนาง
…นั่นคือพลังที่นางสะสมมาตลอดหลายปีก่อนหน้านี้!
เมื่อมีพลังเหล่านี้สนับสนุน ฉู่หลิวเยว่ถึงจะสามารถยืนหยัดได้จนถึงปัจจุบัน
อีกทั้งตอนที่พลังเหล่านั้นถ่ายเทมาภายในร่างกายของนาง ก็เป็นเหมือนกับน้ำในแม่น้ำ ที่ชำระเลือดเนื้อกระดูกและเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ระหว่างที่กายเนื้อของนางถูกหลอมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้นางแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า โดยรวมแล้วฉู่หลิวเยว่กำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
เพียงแต่ภายในขั้นตอนเหล่านี้ มันต้องทนทุกข์ทรมานมากเกินไป
ทุกครั้งที่นางใช้พลังจนหมด นางก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็นปลาที่ใกล้ตายต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างยากลำบาก
แต่หลังจากที่ได้รับพลังสนับสนุนเหล่านั้นแล้ว ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ จางลงไป
แต่เวลาเหล่านี้อยู่ได้ไม่นาน เพราะว่าพลังเหล่านั้นกำลังจะหมดลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นจึงเกิดเป็นวัฏจักรใหม่ โคจรใหม่อีกครั้ง
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉู่หลิวเยว่เองก็จำไม่ได้แล้วว่า นางได้วนเวียนอยู่ในขั้นตอนเหล่านี้มากี่ครั้งแล้ว
อีกทั้งทุกอย่างยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย
หากมีจิตใจไม่เข้มแข็งมากพอ บางทีอาจจะยอมแพ้ไปตั้งนานแล้ว
ฉู่หลิวเยว่อาศัยเพียงความมุ่งมั่นสายสุดท้าย กัดฟันยืนหยัดต่อไป!
หากดูอย่างผิวเผิน ก็เหมือนว่านางจะไม่ได้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ สภาพยังดูดีทุกประการ มีเพียงแค่มุมปากที่มีคราบเลือดไหลออกมา แต่ก็ไม่ได้สะดุดตา
แต่ความเป็นจริงแล้วภายในร่างกายของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ไปตั้งนานแล้ว!
ทว่าภายในสมองของนางกำลังประสบอยู่กับลมพายุที่น่าหวาดหวั่น!
เสียงฉินดังสะท้อนที่ข้างหูอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับสามารถเห็นศพกองกระจัดกระจายอยู่ กลิ่นคาวเลือดทะลุฟ้า!
เลือดภายในร่างกายของฉู่หลิวเยว่ก็เดือดพล่านตามไปด้วย!
ร่างกายของนางเริ่มสั่นสะท้าน เนื้อเพลงฉินโปร่งแสงที่อยู่ในมือก็ร่วงหล่น!
ตึง!
เสียงฉินหยุดชะงักลงในทันที!
อาจิ่งมองหน้านาง แล้วถามขึ้นอย่างใจเย็นว่า
“เจ้าอยากจะพักก่อนหรือไม่?”
ดูจากท่าทางของนางแล้ว เหมือนว่านางมาถึงขีดจำกัดของตนเองแล้ว
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น
“…ไม่ ไม่ต้อง…”
เสียงของนางนั้นอ่อนแอเป็นอย่างมาก แต่กลับเต็มไปด้วยความยึดมั่น
จากนั้นนางก็หยิบเนื้อเพลงฉินที่ตกลงพื้นขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่ามือของนางจะสั่นระริก แต่นางก็ยังคงจับมันไว้มั่นจนข้อนิ้วขึ้นเป็นสีขาว
อาจิ่งจึงวางมือบนฉินนั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า
“ความจริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องบีบบังคับตนเองถึงขนาดนี้ หากเจ้าจะหยุดพักสักครู่หนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด อีกทั้งดูจากความเร็วของเจ้าในตอนนี้ก็ถือว่าเร็วมากแล้ว”
“หรือว่าจะให้ข้าช่วยปรับเวลาให้ช้าลงอีกหน่อย? เมื่อเป็นอย่างนั้น เจ้าก็จะได้ผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย”
ตอนนี้เวลาเคลื่อนผ่านไปเร็วมาก สำหรับนางแล้วก็จะมีความกดดันเป็นเท่าทวี
แต่ถ้าปล่อยเวลาให้ช้าลงอีกหน่อย สถานการณ์ของนางก็จะดีขึ้นมากเลย
“…ขอบคุณผู้อาวุโสอาจิ่ง ท่าน…ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า…”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าอีกครั้ง พร้อมปฏิเสธข้อเสนอของเขา
ตอนนี้นางหวังเพียงแค่ว่า สามารถหลอมเนื้อเพลงฉินเหล่านี้ให้ได้เร็วที่สุด จากนั้นจะได้ออกไปหาหรงซิวและคนอื่นๆ พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก
แม้ว่าขั้นตอนเหล่านี้จะเจ็บปวด แต่นางก็ยังสามารถทนได้
อาจิ่งจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงเบา
“เจ้านี่ช่าง…ดื้อรั้นเสียจริง…”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่หัวใจที่หนาแน่นของนางก็หาได้ยากแล้ว
คนเช่นนี้ ไม่ว่าจะทำอันใดก็จะทุ่มสุดตัว
แล้วจะไม่สำเร็จได้อย่างใดเล่า?
เขาขยับปลายนิ้ว เสียงฉินดังขึ้นมาอีกครั้ง!
ทันใดนั้นเองภายในสมองของนางก็มีภาพสงครามการนองเลือดปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง!
ชั่วพริบตาเดียว ก็มีความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาในสมองของนาง
…ภาพเหล่านี้ เหมือนว่า…จะไม่ใช่ภาพลวงตา!
…
ท่ามกลางความมืดมิดและอ้างว้าง หรงซิวยืนอยู่อย่างเงียบงัน
เขาหลับตาลง ดวงตาที่ทำให้ผู้คนหลงใหลถูกบดบังด้วยแผ่นเปลือกตา
จากนั้นประกายไฟสีทองก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของเขา ก่อนจะแพร่กระจายออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว!
ระหว่างคิ้วของเขามีสัญลักษณ์หนึ่งปรากฏขึ้นมา
ศักดิ์สิทธิ์ สูงส่ง ไม่อาจเอื้อม!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เงาร่างภายในกระจกบานใหญ่ที่มองไม่เห็นขอบตรงด้านหน้าของเขาก็ถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิงสีดำเช่นกัน!
แข็งแกร่ง โหดเหี้ยม ลมปราณพลุ่งพล่าน!
ระหว่างคิ้วของเขาก็มีสัญลักษณ์หนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างเชื่องช้า
แต่ทว่า…สัญลักษณ์นั้นแตกต่างจากหรงซิวที่อยู่ด้านนอกกระจกอย่างสิ้นเชิง!
สัญลักษณ์นั้นปรากฏขึ้นเพียงครู่เดียว ก่อนจะถูกเปลวเพลิงสีดำที่อยู่รอบข้างครอบงำไปจนหมด!
หลังจากนั้นหรงซิวก็ยื่นมือออกมา และหันไปมองทางกระจก…
…
หนานอีอีรู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางนั้นจมลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากเสียงลมที่ดังขึ้นข้างหูแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นเลย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ในที่สุดร่างกายของนางก็ตกหล่นลงพื้น!
ตึง!
เสียงหนึ่งดังกังวานขึ้น
พื้นดินนั้นแข็งมาก เมื่อนางล้มลงไปขาก็เกือบจะหักแล้ว
“ซี๊ด…”
นางเจ็บจนหายใจไม่ออก
นางยังไม่ทันได้หอบหายใจ ทันใดนั้นก็มีชายเสื้อสีแดงหล่นลงมาในครรลองสายตาของนาง
นางตกใจสะดุ้งเฮือก แล้วรีบเงยหน้าขึ้นไปมอง
ก่อนจะเห็นว่าตำแหน่งตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกลจากนางนั้น มีโครงกระดูกสีขาวนอนแน่นิ่งอยู่
กระดูกนั้นเรียวและมันวาว เปรอะเปื้อนด้วยคราบสีแดงดำ ดูไปแล้วเหมือนกับกระดูกส่วนท่อนแขนของมนุษย์
เงาร่างนั้นเหมือนกับผู้ชายวัยสี่สิบกว่าปี รูปร่างผอมแห้ง ใบหน้าธรรมดา
ไม่มีทางเป็นที่จดจำได้ หากมองเพียงครั้งเดียว
อย่างใดก็ตามตอนที่นางกวาดสายตาไปมอง หนานอีอีกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ!
ทันใดนั้นความเย็นชาอันน่าหวาดกลัวจนไม่สามารถอธิบายได้ ก็พวยพุ่งขึ้นมาจากภายในใจของนาง!
จากการมองเพียงครั้งเดียว นางก็สามารถมั่นใจได้ว่า…ไม่ควรไปยั่วยุคนผู้นี้เด็ดขาด!
“เจ้า…เจ้าคือคนที่ข้าเพิ่งพูดคุยอยู่เมื่อครู่นี้หรือ?”
หนานอีอีพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนก
ชายวัยกลางคนคนนั้นไม่มีท่าทางว่าจะตอบคำถามของนาง เขาเพียงแค่กวาดสายตามองขึ้นลง แล้วพูดเสียงเรียบว่า
“นาม”
ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้สติขึ้นมา เหมือนว่าเขากำลังถามชื่อของนางอยู่
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีความเป็นปรปักษ์ต่อนาง นางจึงได้พูดขึ้นอย่างลังเลว่า
“…หนาน…หนานอีอี…”
“คนตระกูลหนาน?”
ชายผู้นั้นเผยสีหน้าเข้าใจอันใดในบางอย่างออกมา
“มิน่าล่ะบนตัวของเจ้าจึงมีของวิเศษเช่นนี้”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายรู้ถึงภูมิหลังของตระกูลนาง หนานอีอีก็ถอนหายใจออกมา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาคงจะไม่ลงมือกับนางง่ายๆ ใช่หรือไม่?
“วางใจเถอะ ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ข้าจะไม่มีทางคืนคำเด็ดขาด”
………………..