ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1709 ช่วยเหลือ
ตอนที่ 1709 ช่วยเหลือ
………………..
“บังเอิญเหลือเกิน”
คนผู้นั้นหยุดยืนอยู่ที่เดิม ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอเจ้าในที่แห่งนี้ได้”
หัวใจของหนานอีอีเหมือนถูกอันใดบางอย่างบีบรัดจนแน่น
ขณะที่นางกำลังจะพูด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของชายตรงหน้าหัวเราะขึ้น
“บังเอิญมากจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เจ้าเข้ามาที่นี่ด้วยเช่นกัน”
หนานอีอีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พบว่า คำพูดของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ ไม่ได้พูดกับนางอยู่
นางขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม สายตามึนงงและสงสัยกวาดไปที่พวกเขาทั้งสองคน
พวกเขา…รู้จักกันหรือ?
ไม่น่าเป็นไปได้!
นางรู้จักผู้ชายที่อยู่ด้านหน้า เขาเป็นคนที่เข้ามาพร้อมกับซั่งกวนเยว่ในคราแรก และเหมือนว่าจะเป็นญาติของนางด้วย!
หนานอีอีไม่ได้รู้สึกตกใจเท่าไรที่เขามาปรากฏตัวที่นี่
ในตอนนั้นทุกคนถูกดูดกลืนเข้ามาด้านใน ซึ่งอาจจะเกิดเรื่องบังเอิญและอุบัติเหตุมากมาย
แต่…
เหตุใดเขาถึงรู้จักผู้ชายที่ร่วมเดินทางกับนางได้เล่า?
ชายคนนั้นถูกขังอยู่ที่นี่เป็นเวลาพันปีแล้วไม่ใช่หรือ!
ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าของนางพูดต่อว่า
“ความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้ข้าประหลาดใจก็คือ เจ้ายังไม่ตาย”
น้ำเสียงของเขาฟังดูแล้วราบเรียบเป็นอย่างมาก แต่หากสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าเหมือนมีอันใดบางอย่างถูกกดทับเอาไว้
“ประโยคนี้ ข้าควรจะเป็นคนพูดสิถึงจะถูกต้อง เจ้านี่ตายยากจริงๆ เลยนะ ถูกขังอยู่ที่นี่เป็นเวลานานขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่า…เจ้ายังจะดิ้นรนอยู่ต่อไปวันๆ”
ทันทีที่สิ้นเสียง หนานอีอีก็สามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงปะทุขึ้นมา!
แต่จิตสังหารนั้นปรากฏขึ้นเพียงครู่เดียวเท่านั้น
กว่าหนานอีอีจะตอบสนองได้ ความรู้สึกอันเย็นยะเยือกก็จางหายไปหมดแล้ว
เหมือนว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
สายตาของซั่งกวนจิ้งกวาดมองทางหนานอีอี ดวงตาคู่นั้นเหมือนมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะช่วยเหลือเขาไว้…หนานอีอี เกรงว่าเจ้าจะยังไม่รู้ คนที่เจ้าช่วยมานั้นเป็นคนประเภทไหน?”
หนานอีอีรู้สึกผิดและตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่มีเหตุผล
นางเหลือบสายตามองชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว
คำพูดเหล่านี้เหตุใดดูเหมือนว่ามีอันใดบางอย่างผิดปกติ?
หรือว่าชายคนนี้มีฐานะไม่ธรรมดา หรือว่าเขาจะ…มีอันใดบางอย่างปิดบังอยู่?
“ซั่งกวนจิ้ง บุญคุณความแค้นระหว่างข้ากับเจ้านั้นสิ้นสุดลงไปแล้ว ตอนนี้พวกเราเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง เจ้าอยากจะทำอันใดก็ทำไปเถอะ แต่อย่าขวางไม่ให้ข้าออกไป ไม่เช่นนั้น…ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว!”
นี่เป็นครั้งแรกที่หนานอีอีสัมผัสได้ว่าคำพูดของชายที่อยู่ด้านหน้านางนั้นมีแรงคุกคามและความเย็นยะเยือก!
เหมือนกับซั่งกวนจิ้งได้ยินเรื่องขบขันเข้า เขาหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง หลังจากผ่านไปสักพักก็พูดขึ้นว่า
“อวี๋หงซาน! เจ้าจะไม่เกรงใจข้าได้อย่างใด? ตอนนี้แม้กระทั่งกายเนื้อของเจ้ายังไม่มี จะโจมตีข้าด้วยเสี้ยวจิตวิญญาณของเจ้าหรือ!”
ช่างน่าขัน!
ในปีนั้นฝีมือของอวี๋หงซานก็ยังไม่สามารถเทียบเทียมเขาได้ ต้องอาศัยการลอบกัดถึงจะสามารถเสมอกับเขาได้
หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดในครั้งนั้น ซั่งกวนจิ้งที่บาดเจ็บก็เดินทางไปที่บุพกาลชายแดนเหนือ แต่ทว่าอวี๋หงซานกลับถูกดูดกลืนมาภายในมิติของกำแพงสีดำแห่งนี้ พันปีไม่สามารถออกมาได้!
ความจริงแล้วต่างฝ่ายต่างไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงตอนนี้ แต่ก็คิดไม่ถึงมากกว่าว่าพวกเขาจะได้มาเจอกันในที่แห่งนี้
“ซั่งกวนจิ้ง เจ้ายังคิดว่าข้าจะเป็นเหมือนปีนั้นอยู่หรือ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น แรงกดดันอันมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของเขา!
ซั่งกวนจิ้งหรี่ตามองแล้วหัวเราะขึ้น
“มิน่าสามารถพูดได้อย่างโอหัง ที่แท้เจ้าก็ทะลวงด่านเป็นระดับเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว…”
นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ
ไม่มีกายเนื้อ แต่กลับสามารถทะลวงด่านจากระดับเทพขั้นสูงเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ นี่แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
มิน่าล่ะเขาถึงกำเริบเสิบสานอย่างนี้
แต่นี่ก็ผ่านมาพันปีแล้ว อวี๋หงซานก็จะต้องทุ่มเทอย่างหนัก
หรือไม่เขาอาจจะได้พบกับโอกาสอันใดบางอย่างในที่แห่งนี้
แต่ซั่งกวนจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจ
เขาเปิดปลายเท้าทั้งสองข้างเล็กน้อย ลมปราณบนร่างเปลี่ยนเป็นความอันตรายอย่างรวดเร็ว!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะขอสั่งสอนเจ้าสักหน่อย!”
เมื่อเห็นว่าซั่งกวนจิ้งเหมือนว่าจะเตรียมตัวลงมือที่นี่จริงๆ สีหน้าของอวี๋หงซานก็บิดเบี้ยวขึ้นมาในทันที
สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเพียงแค่การข่มขู่ซั่งกวนจิ้งเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะประมือกับเขาจริงๆ
ไม่ใช่ว่าเขาหวาดกลัวซั่งกวนจิ้ง แต่ตอนนี้…สิ่งที่เขาอยากจะทำมากที่สุดก็คือออกไปจากที่นี่!
หลังจากออกไปแล้ว ค่อยต่อสู้ก็ยังไม่สาย!
แต่เหมือนว่าซั่งกวนจิ้งจะไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้น
อวี๋หงซานระงับความโกรธที่อยู่ภายในใจ แล้วพูดขึ้นเสียงเย็นว่า
“เจ้าน่าจะเข้ามาอยู่ในนี้สักระยะหนึ่งแล้วใช่หรือไม่ ไม่มีทางที่เจ้าจะไม่สัมผัสถึงความอันตรายของที่แห่งนี้ หากเจ้าอยากจะสู้จริงๆ ก็ได้! แต่ออกไปแล้วค่อยว่ากัน! หากเจ้าอยากตายอยู่ที่นี่ ก็อย่าลากให้คนอื่นตายไปด้วย!”
ซั่งกวนจิ้งหรี่ตาลงเล็กน้อย
เยว่เออร์และคนอื่นๆ ก็น่าจะถูกดูดกลืนมาภายในนี้ด้วยเช่นกัน น่าเสียดายที่เขาตามหามาเป็นเวลานานแล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกนางเลย
ทันใดนั้นเองสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมกวาดสายตามองอวี๋หงซานขึ้นลง
“เจ้ารู้วิธีออกไปอย่างนั้นหรือ?”
อวี๋หงซานไม่พูดไม่จา
เขาถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้เป็นเวลาพันปี แม้ว่าจะไม่สามารถออกจากที่แห่งนี้ไปได้ แต่เขาก็รู้จักที่ภายในนี้ไม่น้อยทีเดียว
ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าจะต้องออกไปอย่างใด
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่พยายามอย่างหนักเพื่อให้หนานอีอีมาช่วยเหลือเขาหรอก
เขาเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า
“ตราบใดที่เจ้าสัญญาว่า ก่อนที่จะออกจากที่แห่งนี้ได้เจ้าจะไม่ลงมือทำร้ายข้า ข้าก็จะพาเจ้าออกไปด้วย”
หนานอีอีตกใจอย่างมาก
“ผู้อาวุโส จะทำเช่นนี้ได้อย่างใด?”
ซั่งกวนจิ้งผู้นี้เป็นคนกลุ่มเดียวกับซั่งกวนเยว่ นางต้องการให้เขาอยู่ที่นี่ตลอดกาล และตายอยู่ที่แห่งนี้!
แล้วจะให้พาเขาออกไปด้วยได้อย่างใด?
อวี๋หงซานหันศีรษะกลับไปมอง สายตาที่เย็นชาเหลือบมองหน้าอยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าไม่อยากตายก็หุบปาก!”
หนานอีอีที่ถูกตำหนิ ก็รู้สึกมึนงงไปในทันที
อย่างใดก็ตามด้วยแรงกดดันของอีกฝ่าย นางจึงไม่กล้าก่อเรื่อง ทำได้เพียงกัดฟันกรอดเท่านั้น ก่อนจะกลืนคำพูดที่เหลือเหล่านั้นลงคอ
นางยังอยากออกไป…
รอจนออกไปจากที่นี่ได้แล้ว นางจะได้ไม่ต้องถูกคนเหล่านี้กดขี่อีกต่อไป!
อวี๋หงซานหันไปมองซั่งกวนจิ้งอีกครั้ง เพื่อรอคำตอบของเขา
ขอเพียงแค่สมองของซั่งกวนจิ้งไม่ได้มีปัญหา อีกฝ่ายจะต้องตอบตกลงเงื่อนไขของเขาอย่างแน่นอน
หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดซั่งกวนจิ้งก็พูดขึ้นมาว่า
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าจะออกไปอย่างใด…”
อวี๋หงซานรอคอยอย่างเงียบเชียบ
“เช่นนั้นเจ้าก็จะต้องรู้วิธีตามหาคนอื่นในที่แห่งนี้ใช่หรือไม่?”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา สีหน้าของอวี๋หงซานก็แข็งค้าง
เขาพูดขึ้นด้วยใบหน้ามืดดำ
“ซั่งกวนจิ้ง เจ้าหมายความว่าอย่างใด?”
ซั่งกวนจิ้งหัวเราะขึ้นมาหนึ่งเสียง
“ไม่มีอันใด ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยเหลือเยว่เออร์และคนอื่นๆ ออกมาได้เท่านั้น จากนั้นพวกเราค่อยออกไปด้วยกัน ร้ายดีอย่างใดพวกเราก็นับว่ารู้จักมักจี่กันอยู่แล้ว ความช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านี้ เจ้าคงยินดีจะช่วยสินะ?”
“ซั่งกวนจิ้ง!” อวี๋หงซานขึ้นเสียงสูงใส่อีกฝ่ายทันที!
รอยยิ้มของซั่งกวนจิ้งยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาผายมือขึ้น
“เชิญ…”
…
ฉู่หลิวเยว่กำลังตั้งใจอ่านเนื้อเพลงฉินที่อยู่ในมือของตนเองอย่างตั้งใจ
นางจำไม่ได้ว่าตนเองอ่านไปกี่แผ่นแล้ว แต่เนื้อเพลงฉินที่อยู่รอบกายนางนั้นก็ลดจำนวนลงไปอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
อีกทั้งระยะเวลาในการอ่านของนางก็เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย
………………..