ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1710 หนวกหูมาก
ฉู่หลิวเยว่ฟังบทเพลงนี้มาหลายรอบแล้ว
นางเป็นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างมาก เมื่ออ่านอันใดหรือได้ยินอันใดก็แทบจะสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ
แต่เพราะว่านี่ไม่ใช่เนื้อเพลงฉินธรรมดา ดังนั้นแม้ว่านางจะฟังมาหลายรอบ แต่ก็ไม่สามารถจดจำได้ทั้งหมด
แต่ละจังหวะ เหมือนว่ามีความวิเศษและโลดโผน
เสียงฉินนั้นดังกระทบโสตประสาท ผ่านเข้ามาในสมอง และทิ้งร่องรอยเอาไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้นฉู่หลิวเยว่จึงต้องจดจำทีละน้อย จากนั้นก็เปรียบเทียบกับเนื้อเพลงฉินที่อยู่ในมือ เพื่อแยกแยะว่าเป็นของจริงหรือของเท็จ
ไม่รู้ว่าใช่ความเคยชินหรือไม่ ความเจ็บปวดรอบข้างจึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความด้านชา
ดังนั้นจึงทำให้นางมุ่งความสนใจไปที่เนื้อเพลงฉินได้เต็มที่
…
การเคลื่อนไหวของอาจิ่งชะงักไป พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย
ดวงตาของเขานั้นดำขลับ
“หนวกหูเสียจริง…”
เขาพูดขึ้นเสียงทุ้มต่ำ ภายในน้ำเสียงมีร่องรอยของการหมดความอดทน
เดิมทีแล้วเขาเป็นคนที่ไม่มีความอดทนมาโดยตลอด เพียงแต่เวลาส่วนใหญ่นั้นเขาคร้านจะใส่ใจมากกว่า ดังนั้นจึงขี้เกียจไปคิดเล็กคิดน้อย ได้แต่หลับตาข้างหนึ่งแล้วปล่อยให้มันผ่านไป
แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว
เขารอเวลานี้มาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้พบกับฉู่หลิวเยว่
กว่าจะบำเพ็ญเพียรได้ถูกต้องตามหลักก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วจะให้คนอื่นมารบกวนได้อย่างใด?
นิ้วชี้ของเขาขยับขึ้นเล็กน้อย ลำแสงคมกริบก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว!
แต่ว่าการกระทำทั้งหมดนี้ เขาทำอย่างไร้เสียง ฉู่หลิวเยว่ที่ตั้งสมาธิจดจ่อกับเนื้อเพลงฉินจึงไม่ได้สังเกตเห็นเลย
กระแสเสียงกึกก้องกัมปนาท ประกายเพลิงลูกหนึ่งระเบิดขึ้นที่ด้านหน้าของอี้เจา
เขาสะกิดปลายเท้าแล้วรีบถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว!
แรงระเบิดกระจายไปโดยรอบ บนพื้นทิ้งร่องรอยเปลวเพลิงเผาไหม้เอาไว้ด้วย
หนานอีฝานและคนอื่นๆ ถอยหลังลงไปอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปสักพักพลังเหล่านั้นค่อยๆ สงบลง
ควันและฝุ่นฟุ้งกระจาย ภายในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นไหม้
ร้อนแรง แผดเผา
หนานอีฝานคลายมือออก กลางฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อเปียกชื้น
เมื่อครู่นี้…มันน่ากลัวมากจริงๆ
อี้เจากำลังเผชิญหน้ากับพลังของกำแพงสีดำที่ระเบิดออกมา พลังทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างบ้าคลั่ง!
พวกเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงไอความร้อนที่หน้าหวาดกลัวแล้ว วินาทีถัดมาไอความร้อนเหล่านั้นก็พวยพุ่งเข้ามาทางพวกเขา!
หากเปลี่ยนเป็นพวกเขา เกรงว่าหนึ่งในสามของพลังนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานได้
“ประมุข ท่านเป็นอย่างใดบ้าง?”
ผู้อาวุโสอี้อวี่พุ่งตัวมาที่ข้างกายของอี้เจาด้วยความรวดเร็ว สีหน้าตื่นตระหนกอย่างหาได้ยาก
อี้เจาส่ายหน้า
“ข้าไม่เป็นไร แต่ว่า…กำแพงแห่งนี้ถูกปิดผนึกด้วยพลังที่แข็งแกร่ง หากต้องการจะบุกเข้าไปด้านในนั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากแล้ว”
ความจริงแล้วผู้อาวุโสอี้อวี่ก็สามารถคาดเดาผลลัพธ์นี้ได้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าตึงเครียดของอี้เจา หัวใจของเขาจึงรู้สึกดำดิ่งโดยไม่รู้ตัว
หากแม้กระทั่งประมุขยังพูดเช่นนี้…
เกรงว่าเรื่องนี้คงจะไม่มีทางออกแล้ว
แต่ว่าถวนจื่อยังอยู่ด้านใน!
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็พูดขึ้นว่า
“รอดูไปก่อนก็แล้วกัน”
ริมฝีปากของผู้อาวุโสอี้อวี่ขยับเล็กน้อย
“…ขอรับ”
หนานอี้ฝานและคนอื่นๆ ก็ได้ยินคำพูดนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาจึงมองหน้ากันไปมา
หากแม้กระทั่งอี้เจายังไม่มีหนทาง เช่นนั้น…พวกเขาก็ยิ่งไม่มีหวังแล้ว
หนานอีฝานกำหมัดกรอด หัวคิ้วขมวดขึ้นเป็นปม
เขารู้สึกเป็นกังวลและตื่นตระหนกอย่างมาก
ท้ายที่สุดแล้วหนานอีอีและหนานอวี่สิงก็อยู่ด้านในด้วย!
หากเกิดเรื่องจริงๆ ละก็…
“ประมุข หรือว่าพวกเราจะรอดูสักครู่?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างพูดเกลี่ยกล่อมขึ้น
สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่สามารถบีบบังคับออกมาได้อย่างแน่นอน
อี้เจาต่างตัดสินใจแล้วว่าจะรอ และเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้แล้ว
หนานอีฝานหยิบจี้หยกออกมา
ประกายแสงทั้งสี่ยังคงลอยอยู่อย่างสงบนิ่ง
เพียงแต่มีหนึ่งดวงที่หม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด
นั่นก็คือผู้อาวุโสไป๋ถง…
หนานอีฝานเก็บจี้หยกลง แล้วมองไปที่กำแพงสีดำตรงหน้าตาเขม็ง
“รอ!”
ทันใดนั้นเขาก็โบกมือให้กับคนทั้งสอง
นี่พวกเขายังไม่ได้เจอกับปัญหาอันใดเลย…
หากได้เจอกับอันตรายอีกครั้ง เกรงว่าแค่รักษาชีวิตให้รอดก็เป็นเรื่องยากแล้ว
ผู้อาวุโสทั้งสองท่านพยักหน้า
หนานอีฝานหลับตาลง แล้วพูดพึมพำเสียงต่ำ
“ปราณมารของสุสานสังหารเทพแห่งนี้ เหมือนจะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขามา เขาไม่เคยได้พบกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลย
เขาจึงไม่รู้ว่านี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่…
ตอนที่เขากำลังจะหมุนตัวออกมาเพื่อโคจรลมปราณ บนกำแพงสีดำนั้นก็มีระลอกคลื่นที่แปลกประหลาดแผ่กระจายออกมาอย่างกะทันหันอีกครั้ง!
พรึ่บ!
ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความรวดเร็ว!
จากนั้นก็เห็นว่าบนผนังมีลำแสงหนึ่งกำลังเคลื่อนที่!
สัญลักษณ์ขนาดใหญ่ส่องสว่างเปล่งประกาย!
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากตรงกลาง!
หนานอีฝานจ้องมองตาเขม็ง ทันใดนั้นความยินดีก็ปรากฏขึ้นในแววตา
“อีอี!”
ถ้าคนที่ออกมานั้นไม่ใช่หนานอีอีลูกสาวสุดที่รักของเขาแล้วจะเป็นใครได้!
เดิมทีหนานอีอีก็รู้สึกมึนงงสับสนอย่างมากอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงนั้นนางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าหันมามองทางนี้
“ท่านพ่อ!”
หนานอีอีเบิกตากว้างจนแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง
หนานอีฝานรีบสาวเท้าเดินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ…โอ๊ย!”
หนานอีอีร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
หนานอีฝานรีบปล่อยมือทันที จากนั้นก็เห็นว่าที่แขนของนางมีรอยข่วนเป็นทางยาว เนื้อพลิกกลับด้านออกมา คราบเลือดไหลเปรอะเปื้อนจนแขนเสื้อกลายเป็นสีแดง
หัวใจของเขากระตุกวูบ จากนั้นก็รีบกวาดสายตาสำรวจร่างกายของหนานอีอีอีกรอบ ก่อนจะพบว่าบนตัวของนางนั้นมีรอยบาดแผลน้อยใหญ่มากมาย!
หากจะบอกว่าเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำก็ไม่เกินจริง!
แต่ที่ทำให้หนานอีฝานรู้สึกตกใจไปมากกว่านั้นก็คือ ลมปราณของหนานอีอีอ่อนแรงอย่างมาก อีกทั้งใบหน้ายังซีดขาว
เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส!
หนานอีฝานรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างใดดี
“อีอี เจ้า เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้?”
นี่นางประสบพบเจอกับเรื่องอันใดมากันแน่?
ในตอนนี้ผู้อาวุโสสองท่านที่อยู่ด้านหลังก็รีบพุ่งตัวเข้ามา
พวกเขาใจเย็นกว่าหนานอีฝานเล็กน้อย
“ท่านประมุข ช่วยทำแผลให้คุณหนูรองก่อนเถอะ!”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวเตือนขึ้น
หนานอีฝานจึงได้สติขึ้นมา และรีบหยิบขวดหยกสีครามขวดหนึ่งออกมา จากนั้นก็เทยาให้กับหนานอีอีด้วยความระมัดระวัง
“นี่คือจินหยวนตัน อีอี เจ้ารีบกลืนลงไปซะ”
ฟังจากเสียงที่อยู่ในขวดหยกนั้นเหมือนว่ายังเหลืออีกหลายเม็ด
จินหยวนตัน เป็นโอสถที่เซียนหมอระดับปรมาจารย์เท่านั้นถึงจะสามารถหลอมออกมาได้ สามารถห้ามเลือดและรักษาบาดแผล พลังในการฟื้นตัวน่ามหัศจรรย์อย่างมาก
สำหรับตระกูลอันดับหนึ่งหลายตระกูล ของสิ่งนี้ก็เป็นของที่ล้ำค่าอย่างมาก แต่คาดไม่ถึงว่าหนานอีฝานจะมีอยู่หนึ่งขวดเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าฐานะของตระกูลเขาร่ำรวยเป็นอย่างมาก
หนานอีอีกลืนจินหยวนตันลงคอ และรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนที่แผ่ซ่านทั่วร่างกายในทันที
ใบหน้าที่ซีดขาวของนาง เริ่มมีเลือดฝาดเล็กน้อย
หนานอีฝานพยุงตัวนางขึ้นอย่างระมัดระวัง
“อีอี นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”