ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1715 ข้าจะสู้กับเจ้า
ตอนที่ 1715 ข้าจะสู้กับเจ้า
………………..
ทันใดนั้นหนานอีอีก็หัวเราะขึ้นเสียงเย็น
คาดไม่ถึงว่าเขายังจะกล้าถามคำถามนี้ออกมาอีก?
“เจ้าสำนักหนาน ลูกศิษย์ที่รักของท่านทำเรื่องงามหน้าอันใดไว้ หรือว่าท่านยังไม่รู้อีกหรือ?”
ทำพันธสัญญากับหงส์ทองคำตัวหนึ่ง…นางอยากตายมากใช่หรือไม่?
หนานซู่ไหวได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย
เขาสามารถเดาออกว่าหนานอีอีกำลังหมายถึงอันใด แต่ว่า…
เรื่องนี้มันแก้ไขเสร็จสิ้นไปกันแล้วไม่ใช่หรือ?
หรงซิวส่งจดหมายมาบอกพวกเขาว่า นังหนูเยว่เออร์พาถวนจื่อออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน!
เขาจึงคิดมาตลอดว่าเรื่องนี้จัดการได้เรียบร้อยแล้ว
หรือว่า…จะเป็นเขาที่คาดเดาผิดพลาด?
อี้เจาพูดขึ้นเสียงเรียบ
“ข้ามาหาซั่งกวนเยว่กับถวนจื่อจริงๆ”
หัวใจของหนานซู่ไหวจมดิ่งไปเล็กน้อย
นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
ถ้าผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย อี้เจาไม่มีทางยอมปล่อยคนออกมาแน่นอน อีกครั้งเขายังอนุญาตให้ถวนจื่อเดินทางออกมาพร้อมกันด้วย
แล้วตอนนี้เหตุใดถึง…
หนานซู่ไหวมองอีกฝ่ายด้วยความระมัดระวัง
สีหน้าของอี้เจา…ราบเรียบ ไม่สามารถคาดเดาอันใดได้
ในตอนนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย
สายตาของผู้อาวุโสอี้อวี่หันไปมองทางฉู่หนิง และมีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย
หนานซู่ไหวขมวดคิ้วขึ้น
มุมปากของผู้อาวุโสอี้อวี่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นก็เบนสายตาออกมา
ผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นคนที่ซั่งกวนเยว่มาตามหาที่สุสานสังหารเทพแน่นอน
เมื่อฟังจากคำพูดของหนานอีอีเมื่อครู่นี้ ซั่งกวนเยว่เรียกขานอีกฝ่ายว่า “ท่านพ่อ” พวกเขาก็น่าจะมีความสัมพันธ์พ่อลูกกันละมั้ง
เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับหนึ่ง แต่กลับมีอาณาเขตเทพเซียน…
หากเดาไม่ผิดแล้วละก็ เขาจะต้องมีร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะแน่นอน
เดิมทีซั่งกวนเยว่ก็ทำให้ผู้คนประหลาดใจได้มากอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่าบิดาของนางผู้นี้ ก็จะไม่ธรรมดาเหมือนกัน
ครอบครัวนี้ช่าง…
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสอี้อวี่ถอนสายตาออกไปแล้ว ทำให้มั่นใจได้ว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาจะมาหาเรื่อง หนานซู่ไหวจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาเหลือบสายตาไปมองฉู่หนิงที่อยู่ด้านข้าง ก็พบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบ เหมือนว่าจะไม่ได้เก็บเรื่องราวเหล่านี้มาใส่ใจเลย
หนานซู่ไหวขยับเข้าไปใกล้อย่างอดไม่ได้ ก่อนจะถามขึ้นเสียงต่ำว่า
“ฉู่หนิง หรือว่าเจ้าจะไม่เป็นห่วงพวกนางเลยสักนิด?”
ฉู่หนิงชะงักไปเล็กน้อย
“เป็นห่วง? เป็นห่วงอันใด?”
หนานซู่ไหวสะอึกไป ก่อนจะเบี่ยงสายตาออกมา
“…สองคนนั้น คือประมุขและผู้อาวุโสลำดับที่ห้าแห่งเผ่าหงส์ทองคำนะ”
ฉู่หนิงพยักหน้า
“ข้ารู้แล้ว! แล้วอย่างใดเล่า?”
แล้วอย่างใดเล่า?
ไม่ใช่ว่าฉู่หนิงจะไม่รู้ว่านังหนูเยว่เออร์ทำพันธสัญญากับหงส์ทองคำตัวหนึ่งจะต้องมีปัญหาตามมามากมายเพียงใด?
“ถวนจื่อ ถวนจื่อน่ะ!”
ฉู่หนิงกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะมองท่าทางตื่นตระหนกของหนานซู่ไหว ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นมา
“เจ้าสำนักหนาน หรือว่าท่านยังไม่รู้ว่า…”
ตู้ม!
เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงปะทะกันของพลังที่รุนแรงก็ดังขึ้น!
ทุกคนหันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง จากนั้นก็มีเงาร่างสองร่างพุ่งตัวออกมาจากกำแพงสีดำ
เงาร่างที่อยู่ด้านหน้าเป็นภาพมายาของมนุษย์ รูปร่างโปร่งแสง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงวิญญาณหนึ่งตน
ด้านหลังของเงาร่างผู้นั้น เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางเคร่งขรึม จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พวยพุ่ง!
ซึ่งคนผู้นั้นก็คือซั่งกวนจิ้ง!
ดูจากท่าทางแล้ว คนทั้งสองกำลังต่อสู้ฆ่าฟันกันอยู่
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าซั่งกวนจิ้งเป็นฝ่ายได้เปรียบ ลมปราณของวิญญาณตนนั้นแปรปรวนและท่าทางจะต้านทานเอาไว้ไม่ไหวแล้ว
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
เหตุใดถึงมีวิญญาณเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัวได้เล่า?
“ผู้อาวุโส?”
หนานอีอีเบิกตากว้างขึ้น พร้อมพูดโพล่งออกมา
หนานอีฝานหันขวับไปมองหน้านางทันที
“เจ้ารู้จักคนผู้นั้นหรือ?”
หนานอีอีพูดอันใดไม่ออกในทันที
ในตอนแรกนางคิดว่าจะมีแต่นางคนเดียวเท่านั้นที่สามารถออกมาได้ ซึ่งเป็นเพราะนางได้เจอกับอวี๋หงซาน
แต่ใครจะรู้เล่าว่าทั้งสองคนจะยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังสู้ตั้งแต่ด้านในจนถึงด้านนอก!
เขาตะโกนขึ้นมาทันทีโดยไม่คิด!
ซั่งกวนจิ้งแข็งแกร่งมากจริงๆ แม้ว่าพันปีที่ผ่านมานี้ เขาก็ฝึกฝนอย่างยากลำบากมาโดยตลอด แต่เมื่อได้ลงมือจริงๆ เขาก็ยังเป็นรองอยู่หนึ่งขั้น!
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป วันนี้เขาต้องตายด้วยน้ำมือของซั่งกวนจิ้งแล้ว!
หนานอีอีกัดฟันกรอด
“ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสท่านนี้ได้ช่วยเหลือข้าเอาไว้ ตอนนี้พวกเราคงต้องช่วยเหลือเขาแล้วกระมัง?”
หากสามารถจัดการซั่งกวนเยว่ไปได้ เช่นนั้นก็ไม่มีอันใดดีไปมากกว่านี้แล้ว!
หนานอีฝานได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าขึ้นลงอย่างไม่ลังเล
หลังจากนั้นเขาก็สาวเท้าก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าของเขาอย่างกะทันหัน
ซึ่งคนผู้นั้นคือหนานซู่ไหว!
เขาพูดด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ประมุขหนาน ท่านต้องการจะลงมือกับผู้อาวุโสซั่งกวนจิ้งหรือ?”
หนานอีฝานหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา
“เหตุใด เจ้าสำนักหนานจะขวางข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ผู้อาวุโสซั่งกวนจิ้งเป็นบรรพบุรุษของนังหนูเยว่เออร์ และเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของสำนักหลิงเซียว หากเขาตกอยู่ในอันตราย ข้าไม่มีทางนิ่งดูดายอย่างเด็ดขาด”
แม้ว่าหนานซู่ไหวจะกำลังยิ้มอยู่ แต่แววตาของเขาหนักแน่นมั่นคงอย่างมาก
หนานอีฝานค่อยๆ กำหมัดขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าสำนักหนาน เจ้าอยากจะเป็นปรปักษ์กับพวกเราเพียงเพราะซั่งกวนจิ้งคนเดียวจริงหรือ?”
หนานอีฝานแบมือแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้คนของพวกเจ้าก็ทำแบบนี้มาแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนี้เจ้ามาถามคำถามนี้กับผู้เฒ่าอย่างข้า เจ้าไม่คิดว่ามันน่าขำหรอกหรือ?”
“ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะบุตรีที่รักของเจ้ายั่วยุพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วยังก่อเรื่องให้พวกเรา เรื่องคงไม่มาถึงขั้นนี้หรอก พวกเรายังไม่ทันได้ไปก่อความวุ่นวายอันใดให้กับเจ้าเลย แต่พวกเจ้ากลับคิดจะลงมือกับพวกเราแล้ว?”
ซั่งกวนจิ้งเป็นบรรพบุรุษของนังหนูเยว่เออร์ ดังนั้นพวกเราจะต้องปกป้องอย่างแน่นอน
หนานอีฝานได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา
“เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความผิดของซั่งกวนเยว่ คาดไม่ถึงว่าตอนนี้เจ้าสำนักหนานจะมาใส่ร้ายปรักปรำพวกเรา? แล้วโยนความผิดใส่ตัวลูกสาวของข้าเนี่ยนะ?”
หนานซู่ไหวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขารู้แล้วว่า หลังจากหนานอีอีออกมานางจะอธิบายให้กับคนเหล่านี้ฟังอย่างใด?
“อ่า?”
หนานซู่ไหวถามกลับหนึ่งประโยคด้วยความสนใจ
“หนานอีอีบอกว่านี่เป็นความผิดของนังหนูเยว่เออร์ของพวกเรางั้นหรือ?”
“ไม่จำเป็นต้องพูดถึงนาง ไม่ว่าใครที่มีสายตาเฉียบแหลมก็สามารถมองออกได้ทั้งนั้นว่ามันเกิดอันใดขึ้น!”
กลางหน้าอกของหนานอีฝานจะมีลาวาปะทุอยู่ภายในอย่างบ้าคลั่ง และเหมือนว่าอีกไม่นานมันจะพวยพุ่งออกมา!
หนานอวี่สิงกลายเป็นขยะไร้ค่า ผู้อาวุโสไป๋ถงเสียชีวิต หนานอีอีกับผู้อาวุโสอูเผิงบาดเจ็บสาหัส!
การเดินทางในครั้งนี้ทำให้พวกเขาขาดทุนย่อยยับ!
ความโกรธที่กักเก็บภายในท้องของหนานอีฝาน เขาเองไม่รู้ว่าจะต้องระบายออกไปที่ใด!
หนานซู่ไหวกลับไม่รู้สึกรู้สากับโทสะของเขาเลย
เขาหัวเราะออกมา
แน่นอนว่าหนานอีอีจะต้องเล่าเรื่องทุกอย่างออกมาทั้งหมดและบรรยายให้ฝ่ายของตนเองเป็นฝ่ายถูก
อีกทั้งหนานอีฝานก็รักและเอ็นดูนางเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเชื่อคำพูดของนางอย่างไม่สงสัย
หากไม่มีข้อพิสูจน์ที่มาหักล้างกันได้ ต่อให้คนรอบข้างพูดไปมากมายเท่าไรมันก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อเห็นว่าหนานซู่ไหวไม่พูดไม่จา หนานอีฝานจึงคิดว่าเขารู้สึกผิดขึ้นมา และหัวเราะเสียงเย็นขึ้น
“เหตุใดหรือ เจ้าสำนักหนานไม่พูดต่อแล้วหรือไร? หากพวกเจ้ามั่นใจจริงๆ เหตุใดไม่ต่อสู้กันไปเลยล่ะ?”
หนานซู่ไหวหรี่ตาลงเล็กน้อย
ต่อสู้?
เกรงว่ามันจะเป็นเรื่องสร้างความวุ่นวายกันเท่านั้น!
หนานอีฝานก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนเองมากขึ้น เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นเสียงเย็น
“หากไม่กล้าสู้กันละก็ ก็ขอให้เจ้าสำนักหนานรีบหลบไปจะดีกว่า!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เสียงเย็นชาราวกับก้อนหยกกระทบกันก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน…
“ข้าจะสู้กับเจ้าเอง”