ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1719 ไร้สาระ
ตอนที่ 1719 ไร้สาระ
………………..
ผู้อาวุโสอี้อวี่ได้ยินดังนั้นก็เกือบจะหัวเราะออกมา
หนานอีอีผู้นั้นบ้าไปแล้วจริงๆ ด้วย ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา คาดไม่ถึงว่าจะยังกล้าพูดจาแบบนี้ออกมาอีก?
นางกลัวว่าตนเองจะไม่ตายจริงๆ หรือ!
สถานการณ์ในตอนนี้ ตระกูลหนานเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง
หนานอีอีจะต้องเห็นพวกเขาเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถช่วยชีวิตพวกนางเอาไว้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังหวังว่าพวกเขาจะลงมือช่วยเหลือพวกนาง
แต่นางไม่ได้คิดเลยว่า ต่อให้พวกเขามาหาเรื่องซั่งกวนเยว่จริงๆ แต่นางมีความสัมพันธ์อันใดเกี่ยวข้องด้วยล่ะ?
หรงซิวต้องการจะตัดลิ้นของนาง พวกเขาก็คร้านที่จะใส่ใจ
อี้เจาขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ในที่สุดใบหน้าก็มีความหงุดหงิดเผยออกมา
หนานอีอีคิดว่าตนเองสามารถพูดกระตุ้นอีกฝ่ายได้แล้ว ในขณะที่ความสุขกำลังไหลท่วมท้นเข้ามาในใจ นางก็ได้ยินเสียงหรงซิวหัวเราะขึ้นมา พร้อมถามว่า
“ประมุขอี้เจา ท่านจะช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่?”
อี้เจาพูดออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา
“พวกเขาจะเป็นหรือตายเกี่ยวอันใดกับข้าด้วย?”
ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกรำคาญมากอยู่แล้ว เป็นเพราะหนานอีอีเอาแต่พูดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา และเขารู้สึกว่ามันหนวกหูเกินไป
หรงซิวพยักหน้า รอยยิ้มก็เพิ่มขึ้นมาสามส่วน
“ขอบคุณประมุขอี้เจาที่เข้าใจ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันเพียงสองสามประโยค ก็สามารถสรุปผลลัพธ์ออกมาได้แล้ว
คนหนึ่งคร้านจะใส่ใจ ส่วนอีกคนหนึ่งหมายจะเอาชีวิต!
หนานอีอีเหมือนตกลงในถังน้ำแข็ง!
“ประมุขอี้เจา หรือว่าท่านไม่รังเกียจสักนิดเลยหรือ ซั่งกวนเยว่ผู้นั้นลอบทำพันธสัญญากับหงส์ทองคำนะเจ้าคะ? แม้ว่าสายเลือดของเผ่าหงส์ทองคำจะมัวหมอง ท่านก็จะไม่ใส่ใจสักนิดเลยหรือ?”
สายตาของอี้เจาเย็นชาลงหนึ่งส่วน ในตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปาก เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่าง เขาจึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ฟิ้ว…
กระแสเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ทุกคนจึงหันกลับไปมองโดยพร้อมเพียง จากนั้นก็พบว่าบริเวณโดยรอบกำแพงสีดำนั้นมีพลังแห่งสวรรค์และโลกพวยพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ถ่ายเทลงไปในสัญลักษณ์ลึกลับขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง!
ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน เดิมทีท้องฟ้าจะต้องสว่างสดใส แต่มันกลับมืดครึ้มอย่างรวดเร็ว
เมฆดำรวมตัวเป็นชั้นสลับซับซ้อน
เมฆหนาทึบบดบังแสงอาทิตย์ ทุกสิ่งทุกอย่างบนฟ้าดินเหมือนถูกปกคลุมด้วยเงาดำหนึ่งชั้น
มีเพียงแค่สัญลักษณ์บนกำแพงสีดำเท่านั้นที่ส่องสว่างพร่างพราวมากขึ้นเรื่อยๆ!
หลังจากนั้นแสงสีดำที่อยู่กำแพงก็ค่อยๆ จางหายไปโดยมีสัญลักษณ์เป็นศูนย์กลาง!
เดิมทีก้อนหินหนาก้อนนี้มีสีอื่นแซมอยู่เล็กน้อย แต่ในตอนนี้กำลังโปร่งแสงขึ้นพร้อมเรืองแสงด้วยผนึกใส
อีกทั้งในตอนนี้สัญลักษณ์นั้นก็เริ่มมีสีสันสว่างสดใสเพิ่มขึ้นมา!
ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์นี้เป็นอย่างมาก โดยไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างใดกับเรื่องเหล่านี้ดี
กำแพงแห่งนี้อยู่ในสุสานสังหารเทพมาเป็นหมื่นปีแล้ว แต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง
มันล้ำลึกและหนักหนาอยู่เสมอ
หินทุกก้อนที่กองอยู่ด้านหน้าล้วนเคยถูกแกะสลักมาทั้งหมด มันผ่านโลกมาเป็นเวลานานและไม่สามารถแตะต้องได้
แต่อย่างใดก็ตามในตอนนี้พวกมันได้แปรเปลี่ยนสภาพไปแล้ว!
ทุกคนสามารถมองเห็นร่องรอยที่อยู่ด้านบนได้เช่นเดิม ในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่หายไป…สีดำเข้มที่อยู่บนนั้นมันจางหายไปแล้ว!
ทันใดนั้นเองก็มีเงาร่างเพรียวระหงปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของสัญลักษณ์นั้น…
ถ้าแม่นางสวมชุดแดงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่นั้นไม่ใช่เยว่เออร์แล้วจะเป็นใครได้?
ในตอนนั้นนางกำลังนั่งสมาธิอย่างเงียบเชียบและเพ่งความสนใจไปยังแผ่นกระดาษโปร่งแสงที่อยู่ในมือ
ผมสีดำขลับของนางห้อยปล่อยลงมา ใบหน้าด้านข้างงดงามและสงบนิ่ง
บนร่างกายของนางเหมือนจะมีพลังอันใดบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ห่อหุ้มเอาไว้อยู่ และสามารถตัดขาดจากเสียงภายนอกได้ทั้งหมด
ทุกคนต่างหันกลับไปมอง ในตอนนั้นเองฉู่หลิวเยว่เหมือนถูกขังอยู่ในพื้นที่โปร่งแสงขนาดใหญ่
พวกเขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของนางได้อย่างชัดเจน แต่ตรงกลางถูกขวางกั้นด้วยกำแพงหนึ่งชั้นทำให้ไม่สามารถสัมผัสตัวนางได้
บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นเอง ฉู่หลิวเยว่ก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็หันมามองทางนี้
ดวงตาของนางสงบและราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยทะเลดวงดาวที่สว่างไสว
ทันใดนั้นเองคิ้วของนางก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นเสียงเรียบว่า
“หนวกหู”
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็มีเสียงเด็กวัยเยาว์คนหนึ่งดังขึ้นมาอีกครั้ง
“หนวกหู!”
ทุกคนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเห็นว่าไม่ไกลจากฉู่หลิวเยว่มากนัก มีแม่นางน้อยคนหนึ่งกำลังเท้าเอว พร้อมมองมาทางนี้ด้วยความกรุ่นโกรธ
ดูเหมือนว่านางอายุเพียงสามสี่ขวบเท่านั้น นางสวมกระโปรงใบบัวสีทองคำชาด บนศีรษะมัดมวยผมสองข้าง ใบหน้าอ้วนกลมเนียนขาวน่ารักอย่างมาก
ซึ่งเด็กคนนั้นคือถวนจื่อ!
ในตอนนั้นเองดวงตาทั้งสองข้างที่ดำขลับกลมโตราวกับองุ่นดำมีประกายเพลิงโกรธ
นับตั้งแต่นางถูกกลืนกินเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ นางตามหาร่องรอยของอาเยว่มาโดยตลอด
หลังจากตามหาอยู่นาน ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานนางก็ถูกผลักเข้ามาในที่แห่งนี้ด้วยพลังอันมหาศาล และได้เจอกับอาเยว่
เมื่อนางเห็นอาเยว่ นางก็พุ่งตัวตรงเข้ามาทันที
แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็พบว่า เหมือนว่าอาเยว่กำลังทำอันใดบางอย่างอยู่
ดังนั้นนางจึงนั่งรออยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เดิมทีพื้นที่ที่มืดครึ้มก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
จากนั้น…นางได้ยินเสียงโวยวายมากมาย
โดยเฉพาะเสียงหวีดแหลมแสบแก้วหูของแม่นางคนหนึ่ง ทำให้ถวนจื่อรู้สึกรำคาญจนแทบบ้า
ตอนนี้นางก็ยังมารบกวนอาเยว่อีก!
และนางจะไม่ยอมทนอีกต่อไปแล้ว!
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดไปแล้วว่า…”
นางยกมือเล็กๆ ชี้ไปทางหนานอีอีแล้วพูดขึ้นว่า
“เจ้า มัน น่า รำ คาญ มาก!”
…
เมื่อเห็นถวนจื่อปรากฏตัวขึ้นมา อีกทั้งยังกล่าวหานางทันทีที่เปิดปากพูด ทันใดนั้นเองหัวใจของหนานอีอีก็ตื่นตระหนกขึ้นมา
แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็สงบลง
…นี่มีอันใดให้น่ากังวลอีก?
ตอนนี้ยิ่งหงส์ทองคำตัวนั้นปกป้องซั่งกวนเยว่มากเท่าใด ประมุขอี้เจาก็จะยิ่งโมโหมากเท่านั้น!
เผ่าหงส์ทองคำที่สูงส่งจะยินยอมให้คนเผ่าเดียวกันทำพันธสัญญากับมนุษย์ได้อย่างใด?
ทั้งนี้อีกฝ่ายก็ยังดูจงรักภักดีเป็นอย่างมากด้วย!
ครั้งนี้นางไม่เชื่อว่าประมุขอี้เจาจะสามารถอดทนต่อไปได้!
นางหัวเราะขึ้นเสียงเย็น จากนั้นก็หันศีรษะกลับไปมอง แล้วพูดว่า
“ประมุขอี้เจา ท่านเห็นแล้วหรือยัง? ซั่งกวนเยว่ผู้นี้ทำพันธสัญญากับคนของเผ่าท่านจริงๆ อีกทั้งนางยังสั่งการและปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเยี่ยงทาส! ความโกรธแค้นนี้ ท่านสามารถกลืนมันลงไปได้จริงๆ หรือ?”
เดิมทีนางคิดว่าเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว อี้เจาจะระเบิดโทสะออกมา
แต่ปฏิกิริยาของอี้เจานั้นกลับเกินความคาดหมายของหนานอีอีอย่างสิ้นเชิง
เขาจ้องไปที่ถวนจื่อที่อยู่ในกำแพงตาเขม็ง หลังจากมั่นใจแล้วว่านางไม่ได้เป็นอันใด จึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ก่อนจะหันขวับกลับมามองหนานอีอี
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันเย็นชาของเขา ทันใดนั้นความไม่สบายใจก็พวยพุ่งออกมาทันที
“เจ้ากำลังพูดจาไร้สาระอันใดอยู่”
คิ้วของอี้เจาขยับขึ้นเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบและน่าเกรงขาม
“เดิมทีถวนจื่อก็ทำพันธสัญญากับซั่งกวนเยว่อยู่แล้ว ถ้าถวนจื่อจะพูดแทนนางก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
………………..