ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1730 เรื่องที่โอรสสวรรค์กำลังคิดอยู่
ตอนที่ 1730 เรื่องที่โอรสสวรรค์กำลังคิดอยู่
………………..
เดิมทีหรงซิวต้องการลิ้มรสมันเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ริมฝีปากของนางอ่อนนุ่มและหวานเกินไป จนทำให้เขาลืมถอนตัวออกมา
หลังจากดูดดุนซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง จนได้ยินเสียงหอบหายใจของนาง เขาจึงควบคุมตัวเองแล้วหยุดการกระทำนี้ลง
เขาเอียงศีรษะออกเล็กน้อยก่อนจะวางศีรษะบนไหล่ของนาง
ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบเข้ากับลำคออันเพรียวระหงของนาง ทำให้นางรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย
มือที่กุมเอวบางของนางก็เหมือนจะกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม
ร่างกายของเขาตึงเกร็ง จากนั้นก็โน้มตัวพิงนางครึ่งร่าง หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ข้านี่ทำตัวเองแท้ๆ …”
เขาคิดว่าการควบคุมตนเองเป็นความสามารถพิเศษที่เขาภาคภูมิใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางแล้ว เขาก็มักจะพ่ายแพ้อยู่เสมอ
แก้มของฉู่หลิวเยว่เห่อร้อนขึ้นมา
“ฝ่าบาท ท่านนี่ใจใหญ่จริงเชียว ในเวลาแบบนี้ยังจะคิดเรื่องเหล่านี้อีก?”
หรงซิวหันใบหน้ากลับคืนมา จากนั้นก็ใช้ริมฝีปากบางปัดไปมาที่แก้มระเรื่อของนางอย่างแผ่วเบา
ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบที่ข้างหูของเขา ฉู่หลิวเยว่สามารถได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยจากรอบข้างได้
เสียงของกดจนต่ำที่สุด เขาพูดด้วยน้ำเสียงด้วยยั่วเย้า ใจกว้าง และอ่อนโยนว่า
“…ตั้งแต่เจ้าออกมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงจนถึงตอนนี้ เวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว…หากข้าพูดว่าไม่คิดเกรงว่าจะเป็นเรื่องโกหกแล้ว”
น้ำเสียงของเขาแหบพร่า กอปรกับลมหายใจที่อุ่นร้อน จึงทำให้ผู้คนหน้าแดงใจเต้นระรัวขึ้นอย่างง่ายดาย
คำพูดของเขาตรงไปตรงมา และยังแฝงด้วยความคับข้องใจหลายส่วน แต่ในทางกลับกันฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างใดดี
นางยื่นมือออกมาแล้วจิ้มไปที่หน้าอกกว้างและแข็งแกร่งของเขา ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“ในที่ที่อันตรายเช่นนี้ ฝ่าบาทควรจะระมัดระวังตัวเอาก่อนจะดีกว่า”
โดยความสามารถแยกความปั่นป่วนที่บ้าคลั่งออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ภายในมิติที่ทั้งสองคนอาศัยอยู่มันแทบจะมีเพียงความสงบนิ่งเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งสองเป็นกังวลก็คือ…ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะไปที่ใด
ฉู่หลิวเยว่พูด
“ก่อนหน้านี้องค์ไท่จู่เคยพูดไว้ว่า เมื่อพันปีที่แล้วเขาถูกส่งไปยังบุพกาลชายแดนเหนือได้โดยตรง ไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกเรา…จะถูกส่งไปที่ใด”
หรงซิวหัวเราะขึ้นมา
แสงสว่างจางๆ ส่องสะท้อนเข้าที่ใบหน้าของเขา แสงนั้นสะท้อนออกมาได้เพียงความสูงศักดิ์ของเขาเท่านั้น
“อาจจะเป็นที่สักแห่งในอาณาจักรเสิ่นซวี่”
น้ำเสียงผ่อนคลาย ท่าทางเมินเฉยอยู่หลายส่วน
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินน้ำเสียงของเขาแล้ว จึงหันไปมองหน้าเขาอย่างอดไม่ได้
“จริงสิ มีเรื่องบางอย่างที่ข้าลืมถามเจ้ามาโดยตลอด”
หรงซิวพยักหน้า
“เจ้าถามมาสิ”
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากแน่น
“ตำแหน่งของตระกูลหนานในอาณาจักรเสิ่นซวี่ น่าจะสูงกว่าพระราชวังเมฆาสวรรค์ใช่หรือไม่? แต่เมื่อหนานอีฝานเห็นหน้าเจ้า เหตุใดถึง…”
นางชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำไหนมาพรรณนาถึงจะเหมาะสมถูกต้องที่สุด
“สิ่งที่เจ้าอยากถามคือ เหตุใดหนานอีฝานถึงกลัวข้าขนาดนี้ใช่หรือไม่?”
หรงซิวยิ้มแล้วต่อประโยคของนาง
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
หวาดกลัว…
หลังจากหนานอีอีและคนอื่นๆ รับรู้ถึงฐานะและตำแหน่งของหรงซิวแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เห็นหรงซิวอยู่ในสายตาเลย ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงทำท่าทีหยิ่งผยอง เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจในตระกูลหนานของตนเองเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าหลังจากหนานอีฝานที่เป็นประมุขของตระกูลหนานเจอหรงซิวแล้ว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีไปในทันที
ต่อมาไม่เพียงจะยอมกล้ำกลืนความโกรธแล้วก้มหัวกล่าวขอโทษ แม้กระทั่งหรงซิวลงมือตัดลิ้นของหนานอีอีต่อสายตาของทุกคน เขาก็ยังอดทนอดกลั้นมันลงไป
ถ้านี่ไม่ใช่การหวาดกลัวหรงซิว เช่นนั้นนางก็โดนผีหลอกแล้ว
แต่…
มันเหตุใดกัน?
หรงซิวคือโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ ตอนนี้เขามีอำนาจมากมายในมือ ฐานะสูงส่ง
แต่ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ พระราชวังเมฆาสวรรค์ไม่ได้ยิ่งใหญ่เพียงแห่งเดียว
ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหนานมาก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าพระราชวังเมฆาสวรรค์เสียอีก
และนอกจากนี้จะต้องมีสำนักหรือตระกูลอื่นที่แข็งแกร่งมากกว่านี้แต่นางยังไม่รู้
ทว่าสามารถทำให้หนานอีฝานมีท่าทางเช่นนี้ได้ หรงซิวจะต้องมีไพ่ไม้ตายใบอื่นอยู่ในมืออย่างแน่นอน!
“ความจริงแล้วเหตุผลมันง่ายมาก ก่อนหน้านี้ข้าเคยต่อสู้กับเขามาก่อน เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบข้าอยู่หลายขุม อีกทั้งข้ากำจุดอ่อนของเขาไว้ ดังนั้น…เมื่อเขาเห็นข้า เขาจะต้องหลีกหนีหลบทางไปสามส่วน”
น้ำเสียงของหรงซิวราบเรียบเป็นอย่างมาก ราวกับว่ากำลังพูดถึงเรื่องธรรมดาทั่วไปอยู่
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกใจขึ้นมา
หนานอีฝานมีสถานะแบบใดกัน?
ด้วยไหวพริบและฝีมือของเขาน่าจะต้องอยู่ในระดับสูงสุดสิ!
คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบหรงซิว อีกทั้งยังสามารถกำจุดอ่อนของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ด้วย เช่นนั้น…
พูดได้เพียงว่าหรงซิวเก่งกาจเกินไปแล้ว!
นางสามารถมองออกว่า หรงซิวไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลย
หรือพูดได้ว่า…เขาไม่ได้เห็นหนานอีฝานอยู่ในสายตา!
นางรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าหรงซิวแข็งแกร่ง และก็สามารถพูดได้ว่าลึกเกินหยั่งถึง
ในตอนแรกที่พวกเขารู้จักกัน นางก็สามารถสัมผัสเรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
แต่ตอนนี้นางสัมผัสได้ว่า ตนเองได้ประเมินเขาต่ำเกินไปแล้ว…
ทันใดนั้นเองม่านพลังของทั้งสองคนก็สั่นสะเทือนไปเล็กน้อย!
ความคิดของฉู่หลิวเยว่ถูกขัดจังหวะไปในทันที
หรงซิวเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปทางด้านหน้า
“ควรจะต้องออกไปได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่มองตามสายตาของเขา จากนั้นก็เห็นว่าท่ามกลางความดำมืดมีระลอกคลื่นที่ผันผวนเกิดขึ้น!
หลังจากนั้นก็มีลำแสงสีขาวแหวกทะลุออกมา!
ความปั่นป่วนที่อยู่รอบข้างเข้ามาปะทะแรงมากขึ้นกว่าเดิม!
ม่านพลังของหรงซิวเริ่มสั่นสะเทือนมากเช่นกัน!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเพียงแค่ว่าพลังนั้นกำลังกดทับนางอย่างบ้าคลั่ง!
หรงซิวดึงนางมาอยู่ในอ้อมแขน!
วินาทีต่อมาแสงสว่างก็สาดเข้าที่ตรงหน้า!
เงาร่างของคนทั้งสองลอยกระเด็นออกไปในทันที!
…
ตู้ม!
ทันทีที่ปลายเท้าของหรงซิวและฉู่หลิวเยว่แตะพื้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงอันใดบางอย่างแตกละเอียด
แสงอาทิตย์แสบตาที่ส่องเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้ฉู่หลิวเยว่ยากที่จะลืมตาขึ้น นางหรี่ตาลงในทันที จากนั้นก็หันไปมองตามเสียง แล้วก้มหน้ามอง
…ใต้ฝ่าเท้า แผ่นจานหยกแผ่นหนึ่งแตกละเอียดเป็นเสี่ยง
เหมือนว่าตอนที่พวกเขาเพิ่งจะออกมา หรงซิวได้เหยียบมันจนกลายร่างเป็นสภาพเช่นนี้
ยังดีที่รองเท้าของหรงซิวคุณภาพดีมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจออกมา
แต่ตอนที่นางยังไม่ทันได้หายใจออกจนหมด นางสามารถสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบข้างนี้มีอันใดบางอย่างไม่ถูกต้อง
มันเงียบมากเกินไป
อากาศเหมือนถูกแช่แข็ง แต่กลับมีจิตสังหารเข้มข้นปกคลุมทั่วทั้งพื้นฟ้าแผ่นดินอย่างไร้เสียง!
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นอย่างแข็งทื่อ ก่อนจะหันมองรอบข้าง
ตอนที่เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบ ทันใดนั้นนางก็หยุดหายใจไปด้วยความตกใจ รูม่านตาหดเล็กลง!
นี่มัน…
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง ถวนจื่อที่อยู่ภายในสุสานสังหารเทพก็สามารถสัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่างทันที นางเบิกตากว้างขึ้น!
ดวงตาของนางเปล่งประกาย พร้อมยกมือขึ้นอย่างตื่นเต้นแล้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“อาเยว่อยู่ทางนั้น!”
………………..