ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1732 รับผิดแต่เพียงผู้เดียว
ตอนที่ 1732 รับผิดแต่เพียงผู้เดียว
………………..
หินตกลงน้ำก้อนเดียวทำให้เกิดระลอกคลื่นนับพัน!
สีหน้าของทุกผู้คนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว!
ชื่อของหรงซิวนั้น ส่วนใหญ่พวกเขาก็เคยได้ยินมาแล้ว
แต่ประเด็นสำคัญเลยก็คือ แม่นางคนนั้นที่ยืนอยู่ด้านข้างเขา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นซั่งกวนเยว่!
ก่อนหน้านี้ ภายในเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ชื่อเสียงเรียงนามนี้โด่งดังกว่าหรงซิวเป็นอย่างมาก
“ซั่งกวนเยว่? คนที่อยู่ในสำนักหลิงเซียวคนนั้นน่ะหรือ?”
“นางนั่นแหละ! ได้ยินมาว่าซั่งกวนจิ้งคือบรรพบุรุษของนาง ในปีนั้นหลังจากซั่งกวนจิ้งขโมยโครงกระดูกชิ้นนั้นของเผ่าเราไป ตอนนี้โครงกระดูกชิ้นนั้นก็ยังอยู่กับซั่งกวนเยว่! ก่อนหน้านี้ที่ผู้อาวุโสโหมวเหยาได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็เพราะนาง!”
“นี่มัน…ดูเหมือนว่านางจะอยู่ในระดับเทพขั้นสูงเท่านั้นไม่ใช่หรือ? ฝีมือของผู้อาวุโสโหมวเหยาแข็งแกร่งปานนั้นเหตุใดถึงตกเป็นรองนางได้ล่ะ?”
“ชู่ว! เบาเสียงหน่อย! ไม่เห็นหรืออย่างใดว่าสีหน้าของผู้อาวุโสโหมวเหยาย่ำแย่มากแค่ไหนแล้ว?”
“…แต่ข้าก็พูดความจริงนี่นา ข้าสงสัยซั่งกวนเยว่ผู้นั้นแข็งแกร่งตรงที่ใดกัน?”
“แข็งแกร่งตรงที่ใด…หึ วันนี้นางมาที่เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเอง ความกล้าขนาดนี้คนธรรมดาทั่วไปจะมีได้หรือ?”
“จะว่าไปแล้วก็จริง! แต่ว่าที่นางมาในครั้งนี้ เกรงว่าผู้อาวุโสโหมวเหยาคงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่นอน?”
ทุกคนซุบซิบกันขึ้นมา
แม้ว่าพวกเขาจะกดเสียงต่ำ แต่บุคคลภายในที่แห่งนี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่ง แล้วจะไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้ได้อย่างใด?
โหมวเหยากำหมัดกรอด บนหน้าผากมีเส้นเลือดสีเขียวปูดโปน
คำพูดเหล่านี้ช่างไม่น่าฟังเสียจริง!
หากเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้พวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้ในใจ ก็ไม่มีทางกล้าพูดออกมาต่อหน้าเขาเช่นนี้เด็ดขาด
แต่ในตอนนี้นั้นไม่เหมือนกันแล้ว
คนเหล่านี้ดูถูกดูแคลนเขาได้ในทันที
โหมวเหยารู้สึกโมโหจนทนไม่ได้ สุดท้ายเขาก็โทษว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแม่นางคนนั้น!
หากไม่ใช่เพราะนาง เขาจะมาตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างใด!
ความทุกข์ทรมานทั้งหมด ซั่งกวนเยว่จะต้องรับกลับคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า!
เมื่อเห็นแววตาแห่งความเคียดแค้นชิงชังที่ปิดไม่มิดของโหมวเหยา เดิมทีฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกตื่นตระหนกมากพออยู่แล้ว กลับผ่อนคลายลงมากอย่างไม่สามารถอธิบายได้
…ไม่ว่าอย่างใดก็ตามนางได้ล่วงเกินไท่ซวีเฟิ่งหลงไปแล้ว
จะตื่นตระหนกไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด?
ถ้าเช่นนั้นก็สู้เผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างสงบจะดีกว่า ดูสิว่าพวกเขาจะทำอย่างใดได้อีก!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความกดดันที่อยู่ภายในใจของฉู่หลิวเยว่ก็ลดลงไปอย่างมาก
ริมฝีปากแดงของนางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับโหมวเหยาด้วยรอยยิ้มว่า
“ผู้อาวุโสโหมวเหยา ไม่เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ คิดไม่ถึงว่าท่านจะจดจำผู้เยาว์ได้ด้วย”
โหมวเหยาโกรธมากจนแทบจะหายใจไม่ออก
พูดแบบนี้มันหมายความว่าอย่างใดกัน?
นางทำร้ายเขาจนมีสภาพเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อถึงตอนนี้คาดไม่ถึงว่านางจะยังพูดเช่นนี้ออกมาได้!
เขาหัวเราะเสียงเย็นหนึ่งเสียง แล้วกัดฟันกรอด คำพูดแต่ละคำเหมือนเล็ดลอดออกมาจากซอกฟัน ทั้งนี้ยังแฝงด้วยความเคียดแค้นอย่างสุดซึ้ง
“ผู้เฒ่าอย่างข้าไม่เพียงจดจำเจ้าได้ แต่ข้ายังจดจำการกระทำทุกสิ่งอย่างของเจ้าได้อย่างชัดเจน!”
กล่าวในอีกนัยหนึ่งหมายความว่า บัญชีความแค้นของนางกับเขา เขาไม่มีทางลืมเลือน!
มุมปากของฉู่หลิวเยว่กดยิ้มลึกขึ้น ทำราวกับว่านางฟังความหมายแฝงที่อยู่ในนั้นไม่ออก
“เช่นนั้นก็คงทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว!”
“ซั่งกวนเยว่! เจ้าบังอาจเกินไปแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่ยังไม่ทันได้พูดอันใดออกมา แต่ก็มีเสียงอันน่าเกรงขามและราบเรียบดังขึ้นจากข้างกายของเขา
“โหมวเหยา”
เมื่อได้ยินดังนั้น โหมวเหยาก็หน้าเปลี่ยนสีไปในทันที ในที่สุดเขาก็กัดฟันกรอดแล้วนั่งลงที่เดิม
เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ตาเขม็งเช่นเดิม
หากสายตาของเขาสามารถกลายเป็นมีดได้ เกรงว่าฉู่หลิวเยว่จะถูกเขาลงทัณฑ์ด้วยทัณฑ์เลาะกระดูกไปแล้ว
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองคนด้านข้างด้วยความประหลาดใจ
คนที่พูดนั้นคือชายวัยกลางคน
ดูไปแล้วใบหน้าของเขาธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ทั่วทั้งร่างกายก็ไม่มีอันใดโดดเด่นเป็นพิเศษ
ตำแหน่งของเขาอยู่ในลำดับสูงกว่าคนทั่วไป เห็นได้ชัดว่าเขามีฐานะไม่ธรรมดา!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้…
ในตอนที่นางกำลังลังเลใจอยู่นั้น หรงซิวก็สาวเท้าก้าวขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว มือทั้งสองประสานหมัด พร้อมทำความเคารพอย่างเกรงใจ
“ประมุขโหมวหยาง ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว เพิ่งได้มาเจอวันนี้ สมคำร่ำลือจริงๆ”
เป็นเขานั่นเอง!
ชื่อนี้ฉู่หลิวเยว่ก็รู้จัก
หลังจากถวนจื่อทะลวงด่านกลายเป็นหงส์ทองคำ นางก็ได้อ่านข้อมูลมากมายเกี่ยวกับพวกเขา
ซึ่งในขั้นตอนนี้ นางก็ได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับไท่ซวีเฟิ่งหลงไม่น้อยเช่นเดียวกัน
รวมถึงนางได้รับรู้ว่าประมุขของไท่ซวีเฟิ่งหลงมีชื่อว่า…โหมวหยาง!
เมื่อพูดเรื่องนี้ โหมวหยางผู้นี้ก็นับว่าเป็นคนระดับตำนานเช่นเดียวกัน!
ในข่าวลือกล่าวว่าเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ไม่สูง เมื่ออยู่ในเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
จนสุดท้ายเขาก็สามารถครอบครองตำแหน่งประมุขเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงได้อย่างราบรื่น
เวลาที่เขากับอี้เจาขึ้นครองอำนาจนั้นห่างกันแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น
สำหรับพวกเขาแล้ว ระยะห่างเหล่านี้มันน้อยมาก
ดังนั้นแทบจะทุกคน รวมถึงพวกเขาด้วยที่มองอีกฝ่ายเป็นศัตรูของตนเอง
ความสัมพันธ์ระหว่างอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลสองเผ่า เดิมทีก็อ่อนไหวอยู่แล้ว เผ่าทั้งสองเผ่าก็จะถูกคนเปรียบเทียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
น่าเสียดายที่โหมวหยางและอี้เจาไม่เคยประมือกันจริงๆ มาก่อน แม้กระทั่งเจอหน้าก็เคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง
ทุกคนจึงยากจะคาดเดาว่า สุดท้ายแล้วใครจะเป็นฝ่ายแข็งแกร่งกว่ากัน
หลังจากที่นางได้พบกับอี้เจา และในตอนนี้นางก็ได้มาเจอกับโหมวหยาง ฉู่หลิวเยว่จึงเปรียบเทียบทั้งสองคนในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างมาก
อี้เจาเคร่งขรึมเย็นชา ความเย่อหยิ่งถูกฝังอยู่ในกระดูก
ส่วนโหมวหยาง…มีสีหน้าอ่อนโยน ท่าทางพูดคุยง่ายกว่าอี้เจามาก
เมื่อได้ยินหรงซิวพูดเช่นนั้น เขาก็พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า
“ทุกคนล้วนพูดว่าโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์มีพรสวรรค์โดดเด่น ใบหน้างดงาม เมื่อได้เห็นวันนี้ ก็เหมือนว่าจะไม่ธรรมดาจริงๆ”
คำพูดล้วนเต็มไปด้วยความเกรงใจ ท่าทีสงบนิ่งอย่างมาก
ในใจของฉู่หลิวเยว่ลอบขมวดคิ้วขึ้นแน่นเป็นปม
แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายรายละเอียดออกได้ แต่นางก็รู้สึกว่าโหมวหยางผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติไป
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นประมุขแห่งเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง ฐานะสูงส่ง อยู่บนยอดสูง เหตุใดจะต้องมาเกรงใจพวกเขาเช่นนี้ด้วย?
อีกทั้งการเกรงใจแบบนี้ก็เหมือนกับตอนที่หนานอีฝานเกรงใจหรงซิว เพียงแต่ความหวาดกลัวและหวาดระแวงนั้นแตกต่างออกไป
ดูแล้วเหมือนกับว่าโหมวหยางกับหรงซิวเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรกจริงๆ
เช่นนั้นท่าทางของเขาเช่นนี้ ก็ยิ่งดูแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น
“ผู้นี้คือ…ซั่งกวนเยว่หรือ?”
สายตาของโหมวหยางหันมามองทางฉู่หลิวเยว่
แววตาคมกริบชัดเจน ราวกับสามารถมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่…กลับไม่ได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่สบายเลย
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกระแวดระวังมากยิ่งขึ้น
โหมวหยางผู้นี้…ไม่ธรรมดาเลย!
เขาไม่ได้มีความอ่อนโยนอย่างที่ตาเห็นแน่นอน!
ความคิดนี้ก็ปรากฏขึ้นภายในสมองของนางอย่างรวดเร็ว แต่นางไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกไป
“ผู้เยาว์ซั่งกวนเยว่ คารวะประมุขโหมวหยาง”
………………..