ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1733 รับผิดแต่เพียงผู้เดียว
ฉู่หลิวเยว่โค้งคำนับด้วยความเกรงใจ
สายตาของโหมวหยางหยุดอยู่ที่ร่างของนางครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนสายตากลับอย่างรวดเร็ว
“ไม่ทราบว่าที่ทั้งสองท่านมาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันเช่นนี้…หมายความว่าอย่างใดกันหรือ?”
โหมวหยางถามขึ้นอย่างอ้อมค้อม
ทุกคนที่อยู่ภายในจัตุรัสสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ด้านบนเหนือจัตุรัสเกิดระลอกคลื่นที่ผันผวนอย่างกะทันหัน ความว่างเปล่าแตกสลาย หลังจากนั้นเงาร่างของทั้งสองคนก็ปรากฏขึ้น
ต้องบอกก่อนว่า เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้กางม่านพลังเอาไว้อย่างแน่นหนา
แม้ว่าจะเป็นคนเผ่าเดียวกันเอง แต่ก็ไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนเผ่ามนุษย์เลย
แต่ทว่าสองคนนี้กลับไม่ได้สนใจอุปสรรคที่ขวางกั้นเหล่านั้นเลย พวกเขาทำลายมิติความว่างเปล่า แล้วพุ่งมาที่นี่โดยตรง
นี่มัน…
จึงทำให้ทุกคนสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“หากเล่าแล้วเรื่องมันจะยาวมาก”
หรงซิวยิ้มออกมา ใบหน้ายังคงราบเรียบเช่นเดิม
หลังจากนั้นเขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดอย่างคร่าวๆ
แน่นอนว่ารายละเอียดส่วนใหญ่นั้น เขาเล่าข้ามมันไปทั้งหมด
หลังจากพูดจบ ทุกคนที่อยู่ในจัตุรัสล้วนเงียบกริบ สีหน้าแตกต่างกันออกไป
แต่เห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่นั้นยังคงรู้สึกสงสัยอยู่
แม้กระทั่งโหมวหยางเอง ใบหน้าก็ยังเผยความประหลาดใจอยู่หลายส่วน
“…นั่นหมายความว่า พวกเจ้าเดินทางมาจากสุสานสังหารเทพและมาถึงที่แห่งนี้ได้ด้วยไม่ทราบสาเหตุน่ะหรือ?”
หรงซิวพยักหน้า
เขาคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
…แค่ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าแปลกประหลาดเกินไป!
ถ้าหากไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง จะพูดเหตุผลเช่นนี้ออกมาได้อย่างใด?
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยฝีมือของทั้งสองคน ไม่มีทางที่จะทำลายการป้องกันของพวกเขาและเข้ามาด้านในอย่างไร้สุ้มไร้เสียงแน่นอน
กล่าวคือ…สิ่งที่หรงซิวพูดเป็นความจริง?
แน่นอนว่าโหมวหยางไม่มีทางเชื่อทั้งหมด แต่เขารู้สึกได้ว่าสิ่งที่หรงซิวพูดนั้น น่าจะมีสักส่วนที่เป็นความจริง
โหมวหยางจมอยู่ในความเงียบ
เรื่องเหล่านี้บุคคลภายนอกแทบจะไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ขึ้นอยู่กับคำพูดพวกเขาเท่านั้น
ฐานะของหรงซิวไม่ต่ำต้อย เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถพรากเอาชีวิตของเขาไปได้
แต่ที่พวกเขามาที่นี่อย่างกะทันหันก็สมควรได้รับบทลงโทษ
หลังจากผ่านไปสักพัก โหมวหยางก็พูดขึ้นมาว่า
“ความจริงแล้วพวกข้าไม่ได้อยากทำให้พวกเจ้าลำบากใจ เพียงแต่ว่า…พวกเจ้ามาขัดจังหวะงานหมื่นคีรีของเผ่าเรา อีกทั้งเมื่อครู่นี้เจ้ายังเหยียบแผ่นจานหยกที่ใช้ในการทดสอบของพวกเราจนแตก เรื่องนี้ เกรงว่าจะต้องคิดบัญชีอย่างถี่ถ้วนแล้ว”
งานหมื่นคีรี?
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มิน่าล่ะ!
นางก็คิดว่าเหตุใดถึงมีคนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ที่แท้ก็เป็นเพราะเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงกำลังจัดงานหมื่นคีรีอยู่นั่นเอง!
งานหมื่นคีรีที่ว่านี้ ความจริงแล้วก็เหมือนกับงานกราบไหว้บรรพบุรุษของเผ่าหงส์ทองคำ
เผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงจะจัดงานหมื่นคีรีขึ้นทุกๆ ร้อยปี เพื่อทำการทดสอบพรสวรรค์ของสายเลือดในหมู่เด็กรุ่นเยาว์
นี่นับว่าเป็นหนึ่งในงานพิธีใหญ่ที่สุดของพวกเขาเลย ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก
ตอนนี้ถูกนางกับหรงซิวขัดจังหวะ มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้มีโทสะขนาดนี้
ทันใดนั้นสีหน้าของฉู่หลิวเยว่ก็แข็งค้างไป
ความไม่สบายใจแล่นผ่านเข้ามาในทันที!
ในเมื่องานหมื่นคีรีนี้มีความคล้ายคลึงกับงานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ ถ้าเช่นนั้น…พวกเขาก็น่าจะไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาที่นี้โดยพละการ!
นางกับหรงซิวกำลังประสบกับปัญหาใหญ่แล้ว!
เผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงไม่มีทางแพร่กระจายเรื่องนี้ออกไปอย่างแน่นอน
แล้วยังแผ่นจานหยก…
ฉู่หลิวเยว่ก้มลงไปมองอีกครั้ง
“ประมุขโหมวหยาง แผ่นจานหยกนี้…”
โหมวหยางพูดขึ้นเสียงเรียบ
“ความจริงแล้วแผ่นจานหยกแผ่นนี้ไม่นับว่าเป็นของวิเศษที่ล้ำค่าสูงสุด เพียงแต่ในเผ่าของเรามีเพียงแค่ชิ้นเดียว หลังจากชิ้นนี้พังไปแล้ว หากจะต้องหลอมชิ้นใหม่ขึ้นมาให้เหมือนกันทุกประการ เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากแล้ว ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ”
แม้ว่าน้ำเสียงของโหมวหยางจะราบเรียบ แต่นางก็สามารถฟังออกว่าของชิ้นนี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก!
อีกทั้งยังมีเพียงชิ้นเดียว!
เป็นของวิเศษล้ำค่าที่ใช้ในงานหมื่นคีรีโดยเฉพาะ!
ตอนนี้มันยังถูกพวกเขาเหยียบจนแตกเป็นเสี่ยงเช่นนี้แล้ว!
หากนางไม่ชดเชยให้อย่างเหมาะสม ตัวนางเองก็คิดว่ามันไม่ค่อยยุติธรรม
“แต่ว่าท่านทั้งสองไม่ได้ตั้งใจ นี่…”
“ท่านประมุข เหตุใดท่านต้องแสดงท่าทีเกรงใจต่อพวกเขาทั้งสองด้วย! ในความคิดของข้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือศัตรู!”
โหมวเหยาอดกลั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนสุดท้ายก็ไม่สามารถอดกลั้นต่อไปได้ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ท่าทีเต็มไปด้วยความโกรธจัด
เขาชี้นิ้วไปทางฉู่หลิวเยว่ แล้วกัดฟันพูดออกมาทีละคำ
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าคล้อยตาม
แม้ว่าโหมวเหยาจะมีแต่โทสะเล็กน้อย แต่สิ่งที่เขาพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เรื่องเหล่านี้มันจะบังเอิญเกินไปหรือไม่!
ซึ่งมันทำให้คนเชื่อได้ยาก!
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้น มุมปากก็โค้งขึ้นอย่างเย็นชา ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าโหมวเหยา
“ผู้อาวุโสโหมวเหยา ท่านจะพูดอันใดต้องมีหลักฐานนะ อาศัยแต่ลมปากแล้วมาใส่ร้ายพวกเราเช่นนี้ แบบนี้มันคงเกินไปหน่อยละมั้ง? หากท่านยืนยันสิ่งที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้ เช่นนั้น…ข้าเองก็มีเหตุผลที่จะสงสัยว่าท่านกำลังแก้แค้นข้าต่อหน้าธารกำนัลหรือไม่? เพราะข้าชนะพนันท่านในครั้งนั้น จึงทำให้ท่านมีบาดแผลสาหัสเต็มตัว ท่านคงจะฉวยโอกาสนี้ระบายความแค้นที่อยู่ในใจ แล้วราดน้ำสกปรกใส่หัวพวกเราสินะ?”
สีหน้าของโหมวเหยาซีดขาวยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“เจ้า!”
เป็นปากที่พูดวาจาเราะร้ายยิ่งนัก!
ตอนที่เขาพูดคุยกับซั่งกวนเยว่ในคราแรก เขาก็รับรู้ได้แล้วว่านางแข็งแกร่ง
ในตอนนั้นนางยังอยู่ที่สำนักหลิงเซียว!
แต่ตอนนี้อยู่ที่เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นถิ่นของพวกเขา คาดไม่ถึงว่านางยังจะกล้าพูดจากำเริบเสิบสานเช่นเดิม!
วาจาไร้สาระ! ช่างน่าขันยิ่งนัก!
หน้าอกของโหมวเหยากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง นิ้วมือที่ชี้ไปยังฉู่หลิวเยว่ก็สั่นระริก
ทันใดนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างรุนแรง
“เช่นนั้นเจ้าก็อธิบายมาสิ! ว่านี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่! หากเจ้าสามารถพูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ และสามารถนำหลักฐานออกมาพิสูจน์ได้ พวกเราก็จะเชื่อเจ้า! แต่ไม่เช่นนั้น…ข้าจะคิดว่าพวกเจ้าตั้งใจทำมัน!”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย ในใจเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาหลายส่วน
นางเองก็คิดไม่ถึงว่า การเดินทางครั้งนี้จะส่งนางมาถึงที่เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์
นางหวังว่าตนเองจะไม่ต้องติดต่อหรือไปมาหาสู่กับเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงอีกเลยตลอดกาล
แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนว่าความฝันของนางจะเป็นเรื่องเพ้อพกออกไป
“สิ่งที่โหมวเหยาพูดนั้น ความจริงแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”
ท่ามกลางความเงียบงัน โหมวหยางก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
ใบหน้าของเขายังประดับด้วยความอ่อนโยนเช่นเดิม ดูเหมือนว่าไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง
แต่คำพูดของเขากลับแหลมคมมากยิ่งขึ้น
“ท้ายที่สุดแล้วงานหมื่นคีรีก็เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าเรา ดังนั้นก่อนหน้านี้ทุกคนภายในเผ่าจึงร่วมแรงร่วมใจจัดงานนี้ขึ้นมาอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ว่าตอนนี้…ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสูญเปล่า ต่อให้พวกท่านทั้งสองไม่ได้ตั้งใจ ก็เหมือนว่าจะต้องรับผิดชอบเหมือนกันใช่หรือไม่?”
“นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว”
หรงซิวตอบรับอย่างใจเย็น
เขายกคางขึ้นเล็กน้อย
รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้น แต่ภายในระหว่างดวงตากลับมีเพียงความเงียบขรึม
เขาที่ยืนอยู่เช่นนั้น แต่ลมปราณขั้นสูงสุดที่ยากจะอธิบายได้ก็แพร่กระจายออกมาจากทั่วทั้งร่าง ทำให้ผู้คนก้มหน้าลงและยอมจำนนอย่างไม่รู้ตัว
“หากเป็นความผิดของพวกเราแล้วละก็ แน่นอนว่าพวกเราจะรับผิดนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว ไม่ปัดความรับผิดชอบเด็ดขาด”
………………..