ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1735 ดอนสิบสาม
โหมวเหยาพูดอันใดไม่ออก!
แม้ว่าคำพูดนี้ของฉู่หลิวเยว่จะไม่น่าฟัง แต่มันก็เป็นความจริง!
ในเมื่อคนที่ชนะพนันในวันนั้นก็คือนาง กระดูกชิ้นนี้ก็ต้องส่งคืนให้นาง ถ้าเช่นนั้นนางจะจัดการกับของสิ่งนี้อย่างใด ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวนางแล้ว
ต่อให้จะเป็นกระดูกของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงของเขา พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง
พูดไปพูดมาแล้ว สุดท้ายความผิดทั้งหมดก็ตกอยู่บนศีรษะของเขา!
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นอยู่โดยรอบ
“ผู้อาวุโสโหมวเหยา ยังจะกล้าลุกขึ้นยืนแล้วพูดเช่นนี้อีก…หากวันนั้นไม่ใช่เพราะท่านไร้ความสามารถมากเกินไป แพ้พนันในครั้งนั้น ตอนนี้พวกเราจะต้องโกรธซั่งกวนเยว่แต่ทำอันใดไม่ได้แบบนี้หรือ?”
“นั่นสิ! เป็นเพราะความผิดของคนผู้นั้น ทำให้กระดูกส่วนนั้นตกอยู่ในมือของผู้อื่น ไม่สามารถเอากลับมาได้…นี่เป็นความผิดอันใหญ่หลวง! แต่จนกระทั่งตอนนี้ผู้อาวุโสโหมวเหยากลับไม่ได้รับโทษทัณฑ์อันใดเลย ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านประมุขกำลังคิดอันใดอยู่…”
“เหตุใดถึงไม่มี? เจ้าไม่เห็นงานหมื่นคีรีครั้งนี้หรือ ท่านประมุขไม่ได้ให้ผู้อาวุโสโหมวเหยาเข้าร่วมไม่ใช่หรือ? ต้องบอกก่อนว่างานหมื่นคีรีหลายครั้งก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสโหมวเหยาล้วนมีสถานะสำคัญในงาน…”
“เพียงเท่านี้เองหรือ? หลายปีที่ผ่านมานี้ พวกเราไม่เคยนำกระดูกทิ้งเอาไว้ที่ด้านนอกเผ่า แต่พวกเราก็ไม่มีอำนาจที่จะไปซักถาม หากผู้อาวุโสโหมวเหยาไม่ละเลย พวกเราไม่มีทางที่จะได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้แน่…”
“หากข้าเป็นเขา ข้าคงไม่มีหน้ามางานหมื่นคีรีครั้งนี้แล้ว!”
…
เสียงกระซิบกระซาบมากมายกระทบเข้าโสตประสาทของโหมวเหยาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใบหน้าของเขาทั้งขาวทั้งเขียว ย่ำแย่เป็นอย่างมาก แทบอยากจะมุดดินหนีไปโดยตรง!
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อเขาอย่างร้ายแรง แต่ทุกคนก็ไม่กล้าพูดโดยตรงแน่นอน
แม้กระทั่งประมุขโหมวหยางก็ยังไม่ได้ตำหนิเขาอย่างรุนแรง เพียงแต่กระจายอำนาจในมือของเขาออกไปอย่างไร้เสียง
อีกทั้งยังหยิบกระดูกชิ้นนั้นขึ้นมาต่อหน้าพวกเขาด้วย!
ซึ่งนี่เป็นการเปิดเผยภูมิหลังของเขาต่อหน้าธารกำนัลด้วยไม่ใช่หรือ?
เมื่อคนในเผ่าเห็นกระดูกเหล่านี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อไปได้อีกแล้ว
โหมวเหยาไม่ต้องคิดก็รู้ว่า วันเวลาต่อจากนี้ไปที่อยู่ภายในเผ่าคงไม่ราบรื่นอีกแล้ว!
ถ้าหรงซิวทำอันใดกับกระดูกชิ้นนั้น…
โหมวเหยารู้สึกได้ว่า ตนเองจะต้องกลายเป็นคนบาปของทั้งเผ่าอย่างแน่นอน!
เขาเกือบจะหายใจไม่ออก ร่างกายโงนเงน ใบหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างใส่ใจว่า
“ผู้อาวุโสโหมวเหยา สีหน้าของท่านดูไม่ดีเลย หรือว่าบาดแผลจากการต่อสู้ครั้งที่แล้วยังไม่หายดีหรือ?”
ขณะที่พูด นางก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ท่าทางสงสัยบางอย่าง
“ไม่หรอกมั้งเจ้าคะ…ตอนที่ข้าลงมือข้าก็ยั้งแรงไปเหมือนกัน…”
ผู้อาวุโสโหมวเหยารู้สึกแน่นหน้าอกจนเกือบจะกระอักเลือดออกมา
ยั้งแรง?
คำพูดนี้ของนางหมายความว่าอย่างใด?
หรือว่าในตอนนั้น นางลงมือต่อสู้กับเขาอย่างไม่เต็มที่?
เมื่อทุกคนที่อยู่ในจัตุรัสได้ยินดังนั้น พวกเขาก็คิดขึ้นมาเช่นนี้!
“เจ้า เจ้า!”
โหมวเหยารู้สึกโกรธมาก
เห็นได้ชัดว่าซั่งกวนเยว่ตั้งใจพูดแบบนี้!
รอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่อ่อนโยนและจริงจัง
ตรงหน้าของโหมวเหยาเป็นสีดำมืด ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งร่าง!
โหมวหยางขมวดคิ้วขึ้นมา
ท่าทางเช่นนี้ของโหมวเหยา มันน่าขายหน้าเกินไปหน่อยแล้ว
หากไม่ใช่เพราะว่าเขามีความเป็นอาวุโส และยังเคยเสียสละแก่เผ่ามาไม่น้อย เพียงแค่เรื่องกระดูกในครั้งนี้ ก็ทำให้เขาต้องรับผิดร้ายแรง
เดิมทีหลังจากผ่านเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว โหมวเหยาน่าจะสามารถยับยั้งอารมณ์ของตนเองได้มากขึ้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่ได้ดีขึ้นเลย แต่กลับกระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น
โหมวหยางหลุบตาลงต่ำ ปกปิดความเย็นชาในดวงตา
“ประมุขโหมวหยาง ท่านวางใจเถอะ ข้าจะใช้กระดูกชิ้นนี้ซ่อมแซมแผ่นจานหยก และไม่ได้มีเจตนาที่จะทำลายมันเด็ดขาด”
หรงซิวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ
ที่แห่งนี้คือเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อล่วงเกินเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าที่ตึงเครียดของโหมวหยาง ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เขาจ้องมองไปทางหรงซิว ในที่สุดก็พยักหน้าขึ้นลง
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญ!”
…
ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ แรงกดดันที่มืดดำเหล่านั้นจางหายลงไปไม่น้อย
ถวนจื่อและคนอื่นๆ เดินทางออกไปภายนอกด้วยความเร็ว
ต่อให้ฉู่หนิงจะอ่อนแอมากที่สุด แต่หลังจากยืมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของซั่งกวนจิ้งแล้ว เขาก็สามารถเดินทางไล่ตามทุกคนได้
หลังจากผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็เดินทางมาถึงชายแดนของสุสานสังหารเทพ และยืนอยู่ตรงหน้าป่าวิญญาณสีชาดอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้พวกเขามีประสบการณ์แล้ว กอปรกับไม่มีคนอื่นคอยสร้างความวุ่นวาย การเดินทางของพวกเขาในครั้งนี้จึงราบรื่นเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งถึงเวลาพลบค่ำ คนกลุ่มนี้ก็เดินออกมาจากป่าวิญญาณสีชาด หรือว่าสามารถออกจากสุสานสังหารเทพได้อย่างสมบูรณ์แล้ว!
ตอนที่ฝีเท้าก้าวสุดท้ายเดินออกมา ซั่งกวนจิ้งก็หันกลับไปมองด้านหลังอย่างอดไม่ได้
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะมาที่นี่อีกครั้ง อีกทั้งยังสามารถจัดการบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับอวี๋หงซานได้อย่างหมดจด
ไม่รู้ว่าตอนนี้นังหนูเยว่เออร์จะอยู่ที่ใด จะปลอดภัยหรือไม่?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนสายตากลับมามองทางถวนจื่อ
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่คนอื่นๆ ก็กำลังรอคอยถวนจื่ออยู่เช่นเดียวกัน
ภายในที่แห่งนี้ มีเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้นที่สามารถพาพวกเขาไปเจอกับหรงซิวและนังหนูเยว่เออร์ได้
ถวนจื่อยกมือขึ้นกอดอก มือข้างหนึ่งจับปลายคาง ท่าทางจมอยู่ในความคิด
หลังจากผ่านไปสักครู่หนึ่ง นางก็ยกมืออวบอ้วนขึ้น แล้วชี้ไปทางหนึ่ง
“อยู่ทางนั้น!”
…
พวกเขาออกเดินทางโดยไม่ลังเล แล้วมุ่งหน้าตามทิศทางที่ถวนจื่อชี้นำ
แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เหมือนจะยากลำบากเกินทานทน
แต่โชคดีที่สายสัมพันธ์ของถวนจื่อและฉู่หลิวเยว่ยังเชื่อมต่อกันอยู่ตลอด ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อย ตอนนี้ฉูู่หลิวเยว่ก็ยังปลอดภัยอยู่
อีกทั้งยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร ถวนจื่อก็ตอบสนองได้ไวมากขึ้นเท่านั้น
ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายหดสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด
จึงทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก
แต่จากนั้นอี้เจาและผู้อาวุโสอี้อวี่กลับสัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่างที่ผิดปกติ
ผู้อาวุโสอี้อวี่ก้มหน้าลงมอง
ในตอนนี้กำลังจะผ่านดินแดนรกร้างไปแล้ว
ภูมิประเทศของสถานที่แห่งนี้ก็พิเศษเป็นอย่างมาก บนพื้นที่รกร้างสีเหลืองคือหุบเหวและเขาลึก
เมื่อมองจากบนฟ้าก็จะเห็นว่าหุบเหวทั้งลึกทั้งตื้นกระจายทั่วแผ่นดินรกร้างว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ดูงดงามและเปลี่ยวร้างมาก
สถานที่แห่งนี้…
ในที่สุดผู้อาวุโสอี้อวี่ก็อดทนต่อไปไม่ไหว จึงขยับเข้าใกล้อี้เจา แล้วพูดขึ้นเสียงต่ำว่า
“ท่านประมุข ท่านไม่รู้สึกหรือว่าที่แห่งนี้…มีบางอย่างไม่ถูกต้อง?”
พื้นที่รกร้างทั่วไปนั้น ไม่มีทางมีทิวทัศน์แบบนี้แน่นอน
ในภาพความทรงจำของเขา สถานที่เช่นนี้ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่เหมือนว่าจะมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
อี้เจาสามารถคาดเดาสิ่งที่เขาคิดได้ ดังนั้นจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า
“ถูกต้องแล้ว ที่แห่งนี้ก็คือดอนสิบสาม”
แม้ว่าผู้อาวุโสอี้อวี่จะคาดเดาได้ตั้งนานแล้ว แต่หลังจากได้ยินคำยืนยันของเขา ผู้อาวุโสอี้อวี่ก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ดี
สิ่งที่เรียกว่าดอนสิบสาม ก็หมายถึงพื้นที่รกร้างแห่งนี้
ได้ยินมาว่าหมื่นปีก่อน ที่แห่งนี้มีบรรพบุรุษของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงสิบสามคนมรณะภาพในท่านั่งสมาธิที่นี่
หลังจากพวกเขาเสียชีวิตมาแล้ว พลังแห่งสวรรค์และโลกในสถานที่แห่งนี้ก็สั่นสะเทือน ทำให้กลายเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าดังเช่นทุกวันนี้
ดังนั้นคนรุ่นหลังจึงเรียกที่นี่ว่า “ดอนสิบสาม”
แต่ประเด็นสำคัญเลยก็คือ…ที่แห่งนี้คือถิ่นของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง!