ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1739 เด็กหญิง
ตอนที่ 1739 เด็กหญิง
………………..
“ไม่ทราบว่าประมุขโหมวหยางหมายความว่าอย่างใดหรือ?”
หรงซิวถามขึ้นเสียงเรียบ
โหมวหยางไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง
ในตอนนี้เขากำลังมองไปที่ฉู่หลิวเยว่และหรงซิว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำแข็งมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านทั้งสองอย่าเพิ่งเข้าใจผิด พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเจ้า แผ่นจานหยกนี้ได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็รู้สึกยินดีและโล่งใจอย่างมาก เพียงแต่ว่า…เรื่องนี้มันยังไม่จบ เกรงว่ายังจะไม่สามารถปล่อยเจ้าทั้งสองคนออกไปได้”
เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ภายในน้ำเสียงแฝงด้วยความน่าเกรงขามอยู่สายหนึ่ง
“นอกจากแผ่นจานหยกแผ่นนี้แล้ว พวกเจ้าทั้งสองคนปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันขัดจังหวะงานหมื่นคีรีของพวกเรา และที่สำคัญไปมากกว่านั้น หมื่นปีที่ผ่านมานี้ ภายในเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยมีมนุษย์คนใด
เยื้องย่างเข้ามาที่นี่มาก่อน แต่พวกเจ้าทั้งสองไม่เพียงแต่เข้ามาแล้ว ยังบุกตรงมาที่วิหารไท่ซวี บัญชีแค้นนี้…เกรงว่าจะต้องคำนวณอย่างดีแล้ว…”
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
แววตาของโหมวหยางมืดครึ้มลงเล็กน้อย
“ซั่งกวนเยว่ เจ้ากำลังขำอันใดอยู่?”
พูดได้เพียงครึ่งหนึ่งก็ถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน
เหตุการณ์เช่นนี้เขาไม่เคยเจอมาหลายปีแล้ว
ดังนั้นการที่ฉู่หลิวเยว่หัวเราะขึ้นมาในตอนนี้ จึงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“เปล่าเสียหน่อย ข้าแค่กำลังคิดว่า ในเมื่อท่านไม่ได้คิดจะปล่อยพวกเราไปอย่างง่ายดายตั้งแต่แรก ถ้าเช่นนั้นคำพูดที่สุภาพและวาจาที่ซับซ้อนก่อนหน้านี้นั้น ความจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดเลยก็ได้ ไม่ใช่หรือ?”
ไม่ว่าหรงซิวจะทำสำเร็จหรือว่าล้มเหลว พวกเขาก็ไม่ยอมเลิกราแต่โดยดีแน่นอน
ดังนั้นในตอนนี้จึงใช้คำพูดเหล่านี้มาบีบบังคับขัดขวางพวกเขา
โหมวหยางเองก็คิดไม่ถึงว่า ฉู่หลิวเยว่จะพูดจาตรงไปตรงมาตั้งแต่แรกแบบนี้ ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถรักษาภาพลักษณ์ได้อีกต่อไปแล้ว
เขาจ้องมองฉู่หลิวเยว่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันหนึ่งเสียง แต่ใบหน้าไม่ได้ประดับด้วยรอยยิ้มอยู่เลย
“เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของพวกเจ้า แต่เหตุใดตอนนี้ แม้กระทั่งอำนาจในการซักไซ้ไล่เรียงของพวกข้าก็ไม่มีแล้วหรือ?”
รอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คิ้วของนางโค้งงอขึ้นเล็กน้อย
“แน่นอนว่ามีอำนาจนั้นสิ! แต่ข้าหมายความว่า หากท่านมีเงื่อนไขอันใดก็พูดออกมาพร้อมกันทีเดียวเลยสิ! เวลาของพวกเรามีค่ามากนะ จะพูดอันใดก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า!”
มือที่อยู่ในแขนเสื้อของโหมวหยางกำแน่นยิ่งขึ้น
เขาค้นพบแล้วว่า ซั่งกวนเยว่ผู้นี้ เดิมทีก็ไม่ได้ลงไพ่ตามกฎตามกติกาอยู่แล้ว!
ของเหล่านั้นที่อยู่บนร่างกายของนาง มันไม่ได้มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย!
อีกทั้งยังหรงซิวที่อยู่ข้างนางอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งสองคนนี้…จัดการได้ไม่ง่ายเลย…
เมื่อนึกถึงจุดนี้แล้ว โหมวหยางก็มีท่าทีตรงไปตรงมามากขึ้น
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องอ้อมค้อมแล้ว หากพวกเจ้าต้องการออกจากที่นี่ ง่ายมาก…ลบความทรงจำทั้งหมดของที่นี่ทิ้งซะ!”
ความทรงจำที่มีความเกี่ยวข้องกับเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไม่สามารถนำออกไปได้!
หรงซิวหรี่ดวงตาหงส์ลงเล็กน้อย
มุมปากของฉู่หลิวเยว่มีรอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏ
นางรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่นอน
เพียงแต่ว่า…ลบความทรงจำ?
“ความทรงจำนี้เป็นของพวกเรา หากท่านต้องการจะลบแล้วจะลบอย่างใด?”
สีหน้าของโหมวหยางราบเรียบ
“พวกเราก็มีวิธีของพวกเรา พวกเจ้าแค่ทำตามไปก็พอ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเสียงเย็นในใจ
พูดน่ะมันง่าย!
นี่ไม่เท่ากับว่าวางชีวิตไว้บนฝ่ามือของพวกเขาหรือ?
มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ตอบตกลง!
หรงซิวพูด
“ประมุขโหมวหยาง เงื่อนไขนี้ของท่าน พวกเราไม่สามารถตอบรับได้”
โหมวหยางคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าทั้งสองคนจะตอบเช่นนี้
สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ท่าทางยืนหยัดหนักแน่น
“ความจริงแล้วพวกเราก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่…ไม่มีหนทางอื่น หากเจ้าไม่ตอบตกลงก็ไม่เป็นไร เมื่อไรที่พวกเจ้าคิดตกและยินดียอมรับเงื่อนไขนี้ พวกเราก็จะปล่อยพวกเจ้าไป”
ลมปราณรอบกายหรงซิวแปรเปลี่ยนเป็นความอันตรายขึ้นในทันที!
“ประมุขโหมวหยางหมายความว่า…หากเราไม่ยอมตอบตกลงตลอดไป เช่นนั้นท่านก็จะขังพวกเราอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล?”
โหมวหยางหัวเราะขึ้นมาหนึ่งเสียง
“แม้ว่าตอนนี้เผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงจะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับชาวมนุษย์มากนัก แต่เรื่องนี้สำหรับพวกเราแล้วไม่ได้เป็นการยากเลย”
ภายในน้ำเสียงมีความเย่อหยิ่งอย่างปิดบังไม่มิด!
นี่คือ—ความมั่นใจของอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาล!
เดิมทีเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นฐานที่มั่นของพวกเขาอยู่แล้ว หากคิดจะจับตัวสองคนนี้เอาไว้ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างมากไม่ใช่หรือ?
หากหรงซิวและฉู่หลิวเยว่ไม่ได้มีฐานะที่พิเศษภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ พวกเขาคงไม่มีทางเสียเวลาและเสียแรงไปขนาดนี้หรอก อีกฝ่ายคงถูกพวกเขาฆ่าไปตั้งนานแล้ว
ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่ทางตัน
อากาศเย็นยะเยือก ไร้แว่วเสียง
ในตอนนั้นเองก็มีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว สีหน้าตื่นตระหนก
“ประมุข! ด้านนอกเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางมาทางนี้!”
โหมวหยางขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“เรื่องแค่นี้ พวกเจ้าก็จัดการตามกฎไปก็สิ้นเรื่องสิ้นราว เหตุใดต้องมารายงานข้าด้วย?”
ในสถานการณ์ปกติ น้อยครั้งมากที่มนุษย์จะมาเยือนในที่แห่งนี้
ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าไม่กล้า ส่วนอีกด้านหนึ่ง…ตำแหน่งที่ตั้งของเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์นั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
แต่บางครั้งก็มีกลุ่มคนมาเยือนที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นจะถูกผู้คุมกันที่อยู่ด้านล่างไล่ออกไปจนหมดสิ้น
หากใครที่ใจกล้า ก็จะถูกฆ่าไปโดยตรง
เรื่องเช่นนี้ไม่มีทางทำให้ประมุขโหมวหยางตื่นตระหนกตกใจได้เลย
แต่ผู้คุ้มกันที่มารายงานกลับมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาในทันที
เขาจะไม่รู้เรื่องกฎเหล่านี้ได้อย่างใด?
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ…คนที่มาในครั้งนี้ไม่ใช่คนทั่วไป!
อีกทั้ง…
“ประมุข ภายในกลุ่มคนเหล่านั้น เหมือนว่า เหมือนว่าจะมีเผ่าหงส์ทองคำด้วยหนึ่งคน…”
โหมวหยางมีสีหน้าตึงเครียดไปในทันที!
“เจ้าพูดว่าอันใดนะ?”
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้นหัวใจก็กระตุกวูบ พร้อมหันหน้ากลับไปมอง
จากคำพูดของพวกเขาเช่นนี้มันเหมือนกับ…
“พวกเรากับพวกเขาก็ไม่ได้ติดต่ออันใดกันมากนัก และไม่มีทางที่จะเหยียบถิ่นของอีกฝ่ายโดยง่าย แล้ววันนี้มันเกิดอันใดขึ้น?”
“เผ่าหงส์ทองคำตัวนั้นมันคิดอันใดอยู่? หรือว่า…พวกเขาตั้งใจจะมาก่อเรื่องที่นี่?”
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น
เห็นได้ชัดว่าการมาถึงของเผ่าหงส์ทองคำตัวนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมา
แต่กลับไม่ใช่ความหวาดกลัว เป็นเพียงความระแวดระวังและสงสัยเท่านั้น
ทั้งสองฝ่ายยังรักษาสมดุลที่ละเอียดอ่อนนี้มาโดยตลอด ใครคิดที่จะทำลาย ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอันมหาศาล!
โหมวหยางพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เจ้าพูดมาให้ละเอียดซิ”
ชายผู้นั้นโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเล่าเรื่องอย่างละเอียด
สีหน้าของโหมวหยางและทุกคนที่อยู่ในจัตุรัสล้วนเปลี่ยนแปลงไปมา
“เจ้าจะบอกว่าหงส์ทองคำตัวนั้น เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นหรือ?”
คนผู้นั้นหลุบสายตาลงต่ำ เหงื่อเย็นๆ ไหลท่วมตัว
“ข้าเองก็ไม่กล้ามั่นใจ แต่ลมปราณบนร่างของเด็กคนนั้นเป็นลมปราณของหงส์ทองคำไม่ผิดแน่!”
จะเป็นไปได้อย่างใด!
อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลทั้งสอง หากต้องการจะแปลงร่างเป็นมนุษย์อย่างน้อยต้องมีอายุครบร้อยปีขึ้นไป…
ทันใดนั้นเองโหมวหยางก็นึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็หันมามองทางฉู่หลิวเยว่!
………………..