ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1742 ยอดเขาสัตตบงกช
ตอนที่ 1742 ยอดเขาสัตตบงกช
………………..
แน่นอนว่าไท่ซวีเฟิ่งหลงทุกคนยังคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
โดยเฉพาะโหมวหยาง
เขาคือประมุขเผ่า เรื่องนี้เหมือนเป็นการตบหน้าเขาต่อธารกำนัลอย่างรุนแรง ทำให้ใบหน้าของเขานั้นเสียรูปไปหมด
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเกลียดแค้นฉู่หลิวเยว่อย่างลึกซึ้ง
แต่อย่างใดก็ตามเขาเสแสร้งทำตัวดีมาโดยตลอด แม้ว่าต้องการจะสังหารคน แต่ก็ไม่แสดงท่าทีดุร้ายออกมา
เขามักจะพูดคุยด้วยรอยยิ้ม แต่กลับคร่าชีวิตของผู้คนไป
ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับฉู่หลิวเยว่และหรงซิว เขาก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน
หลังจากสั่งให้คนนำตัวพวกเขาออกไป งานหมื่นคีรีก็ยังคงดำเนินงานต่อไป
บนเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์มีคนเพิ่มขึ้นสองคน พวกเขาจะไม่สนใจได้อย่างใด?
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่างานหมื่นคีรีจะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่ในตอนนี้ไม่มีอันใดที่น่าดึงดูดแล้ว จึงยากที่จะดึงสมาธิอีกครั้ง
แม้กระทั่งโหมวหยางที่นั่งอยู่ด้านบนสุดก็มองรุ่นเยาว์เดินขึ้นมาทดสอบพรสวรรค์และฝีมือทีละคน ซึ่งเขาเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
คนเหล่านี้มีความสามารถเท่าใด ความจริงแล้วพวกเขาก็รู้อย่างชัดแจ้งทั้งหมดแล้ว
การทดสอบในงานหมื่นคีรีก็เป็นเพียงแค่โอกาสให้พวกเขาได้แข่งขันอย่างเปิดเผยเท่านั้น
โหมวหยางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ภายในสมองมีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างหักห้ามไม่ได้
“…ประมุข ประมุข?”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เสียงของผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ดึงสติของโหมวหยางกลับคืนมา
“การทดสอบนี้ใกล้จะเสร็จสิ้นลงแล้ว ท่านมีความเห็นว่า…ควรจะถึงเวลาเปิดวิหารไท่ซวีแล้วหรือยัง?”
นิ้วของโหมวหยางที่วางไว้ตรงที่เท้าแขนก็เคาะขึ้นเป็นจังหวะ สายตากวาดมองด้านล่าง
รุ่นเยาว์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ส่วนอีกด้านหนึ่งมีสีหน้ามืดครึ้ม ยืนคอตก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นพวกที่ถูกคัดออก
ดูจากใบหน้าของคนรุ่นหลังเหล่านี้แล้ว ในใจของโหมวหยางก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เขานึกถึงหงส์ทองคำตัวนั้นที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
เมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ ต่อให้จะเป็นคนที่โดดเด่นมากที่สุด แต่พวกเขาก็สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้หลังจากเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับหงส์ทองคำตัวนั้น ก็นับว่ายังห่างกันมากจริงๆ
เดิมทีโหมวหยางรู้สึกพึงพอใจกับพวกเขาเป็นอย่างมาก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเผ่าหงส์ทองคำสามารถสร้างอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบเคียงขึ้นมาได้ ภายในใจของเขาก็รู้สึกไม่มีความสุขไปในทันที
การเปรียบเทียบกันยิ่งทำให้รู้สึกโมโหมากขึ้น
แต่สำหรับกลุ่มอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลทั้งสองกลุ่มใหญ่นี้ ก็ไม่มีคำใดจะเหมาะสมไปกว่าคำนี้อีกแล้ว
เมื่อมีอัจฉริยะขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้น คาดไม่ถึงว่าเผ่าหงส์ทองคำนั้นจะไม่กระจายข่าวอันใดออกมาเลย
นี่เรียกได้ว่าทำการใหญ่แบบเงียบๆ!
แต่เมื่อคิดได้ว่าหงส์ทองคำตัวนั้นยังคงทำพันธสัญญากับซั่งกวนเยว่ อารมณ์ของโหมวหยางก็เหมือนจะดีขึ้นมาเล็กน้อย
เรื่องนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว ล้วนเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างมาก และนับว่านี่เป็นรอยด่างพร้อยที่ใหญ่ที่สุดของเผ่า
หากซั่งกวนเยว่ตายแล้ว ถ้าเช่นนั้นหงส์ทองคำตัวนั้น…
โหมวหยางหลุบสายตาลงต่ำ ปิดบังร่องรอยอารมณ์ในแววตา
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของเขาก็กลับมาสงบราบเรียบดังเดิมแล้ว
เขาพยักหน้า
“ไปเตรียมตัวได้เลย”
…
อีกด้านหนึ่งหรงซิวและฉู่หลิวเยว่ก็ถูกพาตัวไปที่ยอดเขาสัตตบงกช
เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นเกาะเดี่ยวที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก
ในบรรดายอดเขามากมายไม่ว่าจะสวยงามหรือสูงชัน ยอดเขาสัตตบงกชแห่งนี้ดูธรรมดามากที่สุด และไม่มีอันใดสะดุดตาเลย
แต่ทันทีที่ได้เข้าใกล้ ฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ถึงม่านพลังที่ปกคลุมยอดเขาสัตตบงกช ซึ่งม่านพลังนี้เหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าม่านพลังที่ปกคลุมยอดเขาบริเวณใกล้เคียง
“ยอดเขาสัตตบงกชรกร้างเป็นอย่างมาก ช่วงเวลาต่อไปนี้จึงต้องให้พวกเจ้าทั้งสองคนพักอยู่ที่นี่ด้วยความคับข้องใจแล้ว”
ผู้คุ้มกันของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงทั้งสองคนที่มาส่งตัวพวกเขาก็เปิดม่านพลังด้วยใบหน้าเย็นชา จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้พวกเราเข้าไป
มุมปากของหรงซิวยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย แล้วกุมมือฉู่หลิวเยว่เดินไปด้านในด้วย
ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินเข้าไป แต่ม่านพลังที่อยู่ด้านหลังก็ถูกปิดกั้นลงอีกครั้ง
“ท่านประมุขบอกว่า หากพวกเจ้าสองคนคิดตกเมื่อใดก็พูดออกมา ข้าจะรอคำตอบของเจ้าอยู่ที่นี่ทุกเมื่อ”
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการคุมขังอย่างเข้มงวด
ริมฝีปากบางของหรงซิวโค้งขึ้น แต่เขาไม่ได้ให้การสนใจเรื่องเหล่านั้นมากนัก จากนั้นเขาก็พาฉู่หลิวเยว่ไปที่ไหล่เขา
ในที่แห่งนั้นมีถ้ำอยู่
บนเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์แทบจะไม่มีคนอยู่เลย นอกจากวิหารไท่ซวี บ้านเรือนก็มีน้อยมากจนน่าสงสาร
ส่วนใหญ่แล้วไท่ซวีเฟิ่งหลงชอบอาศัยอยู่ในถ้ำ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองรอบข้าง จากนั้นสายตาก็หยุดลงที่ปากถ้ำ
ปากถ้ำนั้นมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ว่าหากมองจากตรงนี้ไป จะเห็นเพียงความดำมืดที่อยู่ด้านในเท่านั้น
และทำให้คนรู้สึกหนาวสะท้านอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นว่า
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมาที่ถ้ำแห่งนี้เป็นเวลานานมากแล้ว”
รอบข้างมีหญ้าขึ้นรกชัฏ ลมหายใจแห่งความเดียวดายอยู่ทั่วทุกพื้นที่
หรงซิวยิ้มบางๆ
“ไม่เพียงแค่ถ้ำแห่งนี้ ทั่วทั้งยอดเขาสัตตบงกช ก็น่าจะไม่มีใครอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว”
มันเงียบเสียจนนางสามารถได้ยินเสียงของหัวใจตนเอง
เหมือนกับว่านอกจากพวกเขาทั้งสองแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอยู่เลย
“น่าแปลก…”
นางหันกลับมามอง
“ที่แห่งนี้อยู่ห่างจากวิหารไท่ซวีไม่ไกล แต่เหตุใดถึงรกร้างได้เล่า?”
จากที่แห่งนี้สามารถมองเห็นวิหารไท่ซวีที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาได้
ตอนนี้โหมวหยางและคนอื่นๆ กำลังยืนอยู่จัตุรัสด้านหน้าของวิหารนั้นเพื่อจัดงานหมื่นคีรีต่อไป
หรงซิวเผยรอยยิ้มขึ้น จากนั้นก็พานางเดินเข้ามาด้านใน
“รกร้างก็ดี จะได้ไม่มีใครมารบกวน”
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็สะบัดแขนเสื้อขึ้นเปลวเพลิงสีทองกลุ่มหนึ่งลอยออกมา จากนั้นก็เผาด้านหน้าของปากถ้ำ!
เปรี้ยะๆ
หญ้าที่อยู่รอบข้างถูกเผาไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นเถ้าถ่าน
ฉู่หลิวเยว่มองเห็นควันสีดำที่ลอยออกมาจากเปลวเพลิงกลุ่มนั้น
นางขมวดคิ้วขึ้น
“นั่นมัน…”
“ของสกปรกเล็กน้อยน่ะ ไม่มีอันใดน่ากังวล”
หรงซิวหัวเราะเสียงเบา จากนั้นก็ถอนเปลวเพลิงกลุ่มนั้นกลับมา
ฉู่หลิวเยว่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ปากถ้ำแห่งนี้มีความแตกต่างจากเดิมไม่น้อยเลยทีเดียว
นางเดินเข้าไปเล็กน้อย
ความรู้สึกนี้กลับรุนแรงมากยิ่งขึ้น
หรงซิวสาวเท้าก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในถ้ำ
ทั้งสองคนประสานนิ้วทั้งสิบเอาไว้ด้วยกัน ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปาก แล้วเดินติดตามไปด้วย
ทันทีที่ก้าวเข้ามาด้านใน ฉู่หลิวเยว่ก็ใช้สายตาสำรวจรอบด้าน จากนั้นนางก็เห็นอันใดบางอย่าง ฝีเท้าชะงัก รูม่านตาหดเล็กลง
บนผนังของภูเขาแห่งนี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีร่องรอยหนึ่งปรากฏอยู่!
รอยนี้ดูแล้วเหมือนกับถูกของมีคมกรีดอย่างแรง แต่ฉู่หลิวเยว่ก็คิดไม่ออกว่าอาวุธชนิดนั้นคืออาวุธอันใด ถึงสามารถทิ้งร่องรอยเอาไว้ได้ขณะนี้
จากนั้นนางก็เห็นว่าที่ด้านข้างมีคราบเลือด
สีแดงคล้ำ แห้งกรัง และซึมเข้าไปในผนังของถ้ำแห่งนี้หมดแล้ว
ทันใดนั้นเองความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสมองของนาง!
“ตำนานของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงกล่าวไว้ว่า มีบรรพบุรุษผู้หนึ่งธาตุไฟเข้าแทรกขณะที่บำเพ็ญเพียร ในคืนนั้นเขาได้สังหารคนในเผ่าเจ็ดชีวิต จากนั้นเขาก็ถูกคุมขัง หลังจากทนทรมานมาวันแล้ววันเล่า ในที่สุดเขาก็ได้ตายตกไป”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่ายอดเขาสัตตบงกชแห่งนี้ จะเคยเป็นที่คุมขังของคนผู้นั้นมาก่อน”
………………..