ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1744 ภาพลวงตา
ตอนที่ 1744 ภาพลวงตา
………………..
จะว่าไปแล้ว จื่อเฉินก็เงียบมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว
แม้กระทั่งตอนที่อยู่สุสานสังหารเทพ เจอการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มากมายเพียงนั้น จื่อเฉินก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีเขาก็เป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย หากไม่ใช่ช่วงเวลาสำคัญเขาก็จะไม่ออกมา ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเคยชินมาตั้งนานแล้ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า เขาออกมาเคลื่อนไหวในตอนนี้?
“ไม่เป็นไร”
เมื่อสัมผัสได้ว่านางกำลังตกใจ จื่อเฉินก็รีบตอบรับทันที
น้ำเสียงนั้นยังคงทุ้มต่ำและแหบพร่า
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เพิ่งรู้จักเขาในวันเดียวเสียเมื่อไร อีกทั้งระหว่างพวกนางก็ยังมีพันธสัญญาต่อกันอยู่ ดังนั้นความคิดทุกอย่างของจื่อเฉินล้วนไม่สามารถปิดบังฉู่หลิวเยว่ได้
“…เป็นเพราะเสียงมังกรนั่นหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ลองหยั่งเชิงถามขึ้น
จื่อเฉินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า
“อื้อ”
คำตอบนี้กระชับและตรงไปตรงมา แต่กลับทำให้ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้
“เพราะกระดูกปีกสองข้างนั้น!”
ภายในร่างกายของจื่อเฉินมีกระดูกปีกสองข้างของไท่ซวีเฟิ่งหลงอยู่!
หรือจะเป็นเพราะเรื่องนี้ ดังนั้น…
“นั่นคือเสียงคำรามของบรรพบุรุษตัวแรกของไท่ซวีเฟิ่งหลง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าเหตุใดมีพลังอัญเชิญถึงได้แข็งแกร่งปานนี้”
จื่อเฉินอธิบายขึ้น
…กระดูกสองชิ้นภายในร่างกายของจื่อเฉิน ยังประสานเข้ากับพลังแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของกระดูกทั้งร่าง เมื่อได้ยินเสียงอัญเชิญของบรรพบุรุษ พลังแห่งสายเลือดของไท่ซวีเฟิ่งหลงที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายจื่อเฉินก็ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นมา
เรื่องนี้ง่ายดายมาก
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ…
ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม!
จื่อเฉินก็เป็นอินทรีสามตา!
หากบอกว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลแล้วละก็ น่าจะเป็นเผ่าหงส์ทองคำมากกว่า!
ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงเป็นเพียงความสัมพันธ์ห่างๆ เท่านั้น เป็นเพราะว่าตอนนี้เขาสามารถผสานกับพลังแห่งสายเลือดได้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังแห่งการอัญเชิญของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง!
ซึ่งนี่มันก็แค่…
เมื่อสัมผัสได้ว่าสีหน้าของฉู่หลิวเยว่ผิดปกติไป หรงซิวจึงหรี่ตาลง
“เยว่เออร์ เป็นอันใดไปหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
หลังจากครุ่นคิดสักครู่หนึ่งแล้ว นางก็เลือกที่จะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้แก่หรงซิวฟัง
แม้ว่าฟังไปแล้วจะดูแปลกประหลาดมาก แต่เมื่อตัวยังอยู่ในถิ่นของผู้อื่น ดังนั้นพวกเขาจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เมื่อหรงซิวฟังจนจบ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย
ในดวงตาคู่นั้นมีแสงสว่างวาบขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากนั้นก็จางหายไป
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก นางนวดขมับของตนเอง จึงไม่ได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาเลย
“เพียงแค่กระดูกสองส่วน และพลังแห่งสายเลือดหนึ่งสาย ไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบหนักขนาดนี้”
หรงซิวหัวเราะออกมา จากนั้นก็กล่าวคำปลอบโยน
“ใต้หล้าแห่งนี้ พลังแห่งสายเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่คล้ายคลึงกันมีเพียงไม่กี่ตัว แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้มันก็ต่างออกไป”
การผสานกระดูกปีกทั้งสองชิ้นและพลังแห่งสายเลือดสายหนึ่งเข้าภายในร่างกายของจื่อเฉิน ก็เหมือนกับการฝังกับดักแห่งหนึ่ง ฉู่หลิวเยว่จึงกลัวว่ามันจะระเบิดออกมาได้
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงการคาดเดาของนางเท่านั้น
อย่างที่หรงซิวเคยกล่าวไว้ว่า จื่อเฉินเพียงแค่ผสานกับพลังเหล่านี้ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังเป็นอินทรีสามตาอยู่
ดังนั้น…น่าจะไม่มีผลกระทบมากนัก
ฉู่หลิวเยว่คิดถึงเรื่องนี้อย่างเงียบเชียบ
“จื่อเฉิน เจ้าไม่เป็นอันใดจริงๆ หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ยังไม่วางใจ พร้อมถามขึ้นมาอีกครั้ง
จื่อเฉินตอบรับหนึ่งเสียง
ฉู่หลิวเยว่จึงค่อยๆ ปล่อยวางความกังวลลง
นางใช้ความพยายามอย่างมากในการช่วยจื่อเฉินสร้างกายเนื้อขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
นางจึงไม่ต้องการให้จื่อเฉินมีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องกับกระดูกสองชิ้นนี้
หลังจากยืนยันว่าจื่อเฉินยังคงปกติดี ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกวางใจขึ้นมา จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินทางเข้าไปในถ้ำพร้อมกับหรงซิวต่อไป
…
ถ้ำแห่งนี้ลึกเกินกว่าที่ฉู่หลิวเยว่คาดการณ์เอาไว้ในตอนแรกเสียอีก
เดิมทีนางคิดว่า นี่เป็นเพียงถ้ำธรรมดาที่มีเส้นทางเคี้ยวคดลดเลี้ยวไปบ้าง
แต่หลังจากเดินไปเดินมาแล้ว นางก็พบว่าตนเองนั้นไร้เดียงสาเกินไป
เพราะถ้ำแห่งนี้นั้น…ลึกมากจริงๆ!
ไม่ บางทีควรจะพูดว่า เส้นทางมันชวนให้สับสนมาก!
เมื่อเดินมาถึงด้านใน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแคบหรือกว้าง แต่ทุกเส้นทางย่อมมีทางแยก
หลังจากเวลาผ่านไปนานก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสับสนได้ง่าย และยากต่อการแยกแยะทิศทาง
หลังจากนั้นไม่นานนางก็ค้นพบว่า เหมือนว่าพวกเขาวนเวียนอยู่ในบริเวณเดิมตลอดเวลา
แสงของไข่มุกประทีปประกายเจิดจ้า ฉู่หลิวเยว่หันไปมองโดยรอบ
ที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากปากถ้ำมาก แต่ร่องรอยขีดข่วนที่อยู่บนผนังถ้ำกลับมีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม
ในความเป็นจริงแล้ว ระหว่างทางที่พวกเขาเดินมาก็มีร่องรอยทิ้งเอาไว้ที่บริเวณผนังถ้ำตลอด
บางครั้งยังมีคราบเลือดที่แห้งกรังไปนานแล้ว
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นที่ไท่ซวีเฟิ่งหลงตัวนั้นถูกคุมขัง ตอนที่ความตายอยู่ตรงหน้า เขาจะต้องได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสแน่นอน!
ต่อให้หลายปีผ่านมา ความเคียดแค้นและบ้าคลั่งก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจของบุคคลผู้นี้
ภายในใจของฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกหน่วงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แต่ระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ ภายในตันเถียนของนาง บนร่างกายของจื่อเฉินกลับไม่มีความผันผวนเหมือนดังก่อนเก่าอีกแล้ว
ทั้งสองคนเดินไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ
หลังจากผ่านมาประมาณครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็ชะงักฝีเท้าพร้อมกัน
“เมื่อครู่นี้พวกเราผ่านมาทางนี้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ดึงสติกลับมาแล้วพูดเสียงเบา
หรงซิวพยักหน้า
“เหมือนว่าในตอนนั้นเขาก็ถูกขังในที่แห่งนี้ และไม่สามารถออกไปได้”
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองโดยรอบ
พวกเขาเดินอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว แต่เหมือนกำลังเดินวนอยู่ตลอด
“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นภาพลวงตา…”
นางพูดพึมพำเสียงต่ำ
ตอนที่เข้ามานั้นนางไม่ได้สังเกตเลย
ภาพลวงตาเหล่านี้เสมือนจริงมาก แทบจะไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าสิ่งใดเป็นของจริง สิ่งใดเป็นเรื่องเท็จ!
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมอง
เส้นทางนั้นลึกและเงียบ
เหมือนว่าพวกเขาจะ…ไม่สามารถออกไปได้แล้ว!
………………..