ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1745 พักผ่อน
ตอนที่ 1745 พักผ่อน
………………..
ด้านนอกวิหารไท่ซวี โหมวหยางและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ภายในเผ่าต่างกำลังรอคอยอย่างเงียบงัน
ในแววตาของพวกเขาแววตาของพวกเขาจับจ้องวิหารไท่ซวีที่ตั้งตระหง่าน
แสงอาทิตย์เจิดจ้าตกกระทบหลังคาวิหารทำให้แสงสะท้อนงดงามพร่างพราว
น่าเกรงขาม ตึงเครียด ศักดิ์สิทธิ์!
“และไม่รู้ว่าในครั้งนี้จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้กี่คน…”
“โหมวเสิ่นนับว่าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์แล้วใช่หรือไม่? คนอื่นข้าไม่กล้าพูด แต่โหมวเสิ่น…จะต้องทำได้แน่นอน!”
“หึ เรื่องเกี่ยวกับวาสนาเช่นนี้ เจ้าจะพูดคำว่าแน่นอนได้อย่างใด? ก่อนหน้านี้มีคนที่คุณสมบัติไม่นับว่าอยู่ในระดับสูงสุด แต่เขากลับเป็นคนที่ได้รับมรดกที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่หรือ? ข้าคิดว่า ผลลัพธ์เช่นนี้…ไม่มีใครสามารถพูดได้!”
ทุกคนกดเสียงต่ำ
ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างโหมวหยางถามขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านประมุข ท่านมีคนที่คาดหวังเอาไว้หรือไม่?”
โหมวหยางยิ้มบางๆ
“พวกเขาพูดได้ถูกต้อง หากไม่ถึงตอนสุดท้าย ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเกิดอันใดขึ้น”
ในเวลาเช่นนี้ ทัศนคติของเขานั้นก็เป็นกลางอยู่เสมอ
ทุกคนรู้สึกเคยชินมาตั้งนานแล้ว จึงไม่ได้จริงจังกับมันเท่าไร
โหมวหยางมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันศีรษะมาแล้วถามว่า
“จริงสิ คนที่อยู่ด้านนอกเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ล่ะ ตอนนี้พวกเขาจากไปหรือยัง?”
ผู้อาวุโสท่านนั้นรีบตอบว่า
“เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งได้รับรายงานมาว่า พวกเขาได้จากไปแล้ว เพราะว่าตอนนั้นท่านกำลังเปิดวิหารไท่ซวีอยู่ นั้นข้าจึงไม่ได้รายงานต่อท่านในทันที”
“พวกเขามองเห็นอีกฝ่ายจากไปด้วยตาตนเอง อีกทั้งข้าเพิ่งได้สั่งให้พวกเขาเสริมกำลังลาดตระเวนให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้อีกเด็ดขาด ดังนั้นท่านวางใจได้เลย”
โหมวหยางพยักหน้า ภายในใจเกิดความสงสัยขึ้นมา
ในเมื่อหงส์ทองคำตัวนั้นเป็นอสูรในพันธสัญญาของซั่งกวนเยว่ มันจะจากไปโดยตรงอย่างนี้ได้อย่างใด?
จากคำพูดของหรงซิวแล้วนั้น หงส์ทองคำตัวนั้นก็น่าจะติดตามพวกเขามาจากสุสานสังหารเทพ
การเดินทางเป็นหมื่นลี้ พูดไม่ได้ว่าไม่ลำบาก
แต่เจอคำพูดแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้พวกเขาเดินทางจากไปได้เลยหรือ?
เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“ส่งคนไปจับตามองอีก ก่อนงานหมื่นคีรีจะเสร็จสิ้น ห้ามเกิดมีข้อผิดพลาดใดๆ เด็ดขาด”
“ขอรับ!”
ริมฝีปากของโหมวหยางขยับขึ้นเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่า เขาจะส่งคนไปตรวจสอบหงส์ทองคำตัวนั้นอย่างละเอียด และสืบว่าในงานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่
แต่ทันทีที่ความคิดนี้ของเขาปรากฏ เขาก็ต้องรีบระงับมันลงในทันที
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของงานหมื่นคีรี การที่จะหันไปสนใจเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
แล้วอีกอย่างแค่คิดเขาก็รู้ว่า ในเมื่ออี้เจาปิดข่าวเงียบขนาดนี้ เขาจะต้องมีแผนการของตนเองอย่างแน่นอน
เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าไปสืบได้
เวลาเช่นนี้ เขาไม่จำเป็นจะต้องไปปะทะกับอี้เจา
ในขณะเดียวกันนั้นเองก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของเขา และกำลังมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งเขาคือหนึ่งในผู้คุ้มกันที่เขาส่งไปคุมซั่งกวนเยว่และหรงซิว
“คารวะท่านประมุข!”
คนผู้นั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโหมวหยาง ก่อนจะคุกเข่าคำนับ
ผู้คุ้มกันก้มหน้าลงต่ำแล้วพูดขึ้นว่า
“ไม่มีขอรับ”
สีหน้าของโหมวหยางประหลาดใจเล็กน้อย
“จริงหรือ?”
ผู้คุ้มกันพยักหน้า
“หลังจากไปถึงยอดเขาสัตตบงกช ตอนที่ข้าเปิดม่านพลังนั้นออก ทั้งสองคนก็เดินเข้าไปด้านในอย่างไม่พูดไม่จา ดูแล้ว…ปกติอย่างมาก”
โหมวหยางเงียบไปครู่หนึ่ง
ยอดเขาสัตตบงกชเป็นสถานที่ที่พิเศษอย่างมากภายในเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ทั้งสองคนเข้าไปในนั้นแล้ว พวกเขาสามารถจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติได้แน่นอน
แต่เหตุใดถึงยังไม่มีปฏิกิริยาเลย?
ภายในใจของโหมวหยางมีความคิดมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แต่ใบหน้าของเขายังมีความอ่อนโยนราบเรียบเช่นเคย
“ถ้าอย่างนั้นก็จับตาดูต่อไป หากมีอันใดผิดปกติให้รีบมารายงานทันที”
“ขอรับ!”
…
หนึ่งวันผ่านไปราวกับกะพริบตา
ผู้คนที่อยู่ด้านหน้าวิหารไท่ซวียังคงรอคอยอย่างใจเย็น
ทันใดนั้นเอง ระลอกคลื่นสายหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากด้านในของวิหารไท่ซวี
ทุกสายตาจึงหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นก็เห็นว่าประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก เงาร่างหนึ่งลอยกระเด็นออกมาจากภายใน!
ตู้ม!
คนผู้นั้นล้มลงกับพื้นอย่างแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ใบหน้าของคนจำนวนไม่น้อยเผยความผิดหวังออกมา
ผู้อาวุโสสวมชุดคลุมสีขาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูเหลือบสายตามองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นเสียงต่ำว่า
“โหมวเซิง ตกรอบ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นก็เผยความไม่ยินยอมและอัปยศอดสู
คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนแรกที่ตกรอบ…
สายตามากมายจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบข้างจับจ้องมาทางเขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีเข็มมาทิ่มแทงที่ด้านหลัง
เขากัดฟันกรอด อดทนต่อความเจ็บปวดที่อยู่บนร่างกาย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะโค้งคำนับไปทางวิหารไท่ซวี จากนั้นก็ถอนตัวออกไปด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
คนภายในเผ่ารู้ว่าชีวิตนี้มีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะสามารถเข้าไปตามหามรดกตกทอดในวิหารไท่ซวีได้
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้อันใดติดตัวกลับมาเลย หลังจากนี้เกรงว่า…
ความหวังอันร้อนแรงของเขา ถูกน้ำเย็นๆ สาดลงอย่างกะทันหัน ไม่ว่าเป็นใครต่างก็รู้สึกเจ็บปวดกันทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนหนุ่มที่มีจิตใจมุ่งมั่นอีกด้วย
ภายในจัตุรัสเงียบมาก
หลังจากคนเหล่านี้มองหน้าชายหนุ่มคนนี้แล้ว เขาก็ถอนสายตาออกมาด้วยสีหน้าไร้คลื่นอารมณ์
เรื่องนี้สำหรับพวกเขาแล้ว เป็นเรื่องปกติอย่างมาก
โดยทั่วไปนั้น ในด่านสุดท้ายจะใช้เวลามากที่สุดเสมอ
ซึ่งในขั้นตอนนี้ หากผู้ที่ไม่สามารถรับมรดกและไม่มีวาสนานั้นก็จะถูกถีบออกมาในตอนนี้
แต่นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น กว่าจะสิ้นสุดจริงๆ นั้นใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนเลยทีเดียว
นี่เพิ่งผ่านมาหนึ่งวัน ยังต้องรออีกนาน
โหมวหยางกลับมีสีหน้าอ่อนโยน
“หลังจากกลับไปแล้วก็ตั้งใจฝึกฝนให้ดี ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะยังมีโอกาสอยู่”
แม้ว่าท่านประมุขจะมีฐานะสูงส่ง แต่ก็ยังใจกว้างต่อพวกเขาอยู่เสมอ ต่อให้เป็นคนที่มีคุณสมบัติไม่เพียงพอ เขาเองก็ไม่เคยรังเกียจและดูแคลน
เพราะสิ่งนี้จึงทำให้คนในเผ่าเคารพเขามากยิ่งขึ้น
และแน่นอนว่าก็มีผู้อาวุโสส่วนน้อยที่มีความเห็นขัดแย้งกับพวกเขา พวกเขาคิดว่าไท่ซวีเฟิ่งหลงเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลควรจะใช้พลังแห่งสายเลือดและฝีมือที่แท้จริงมาเป็นตัวกำหนดสถานะสูงต่ำ
แต่ท้ายที่สุดแล้วโหมวหยางก็เป็นประมุขของเผ่า พวกเขาเองก็ไม่กล้าพูดอันใดที่มันเกินเลยไปนัก หลังจากโน้มน้าวอยู่สองสามประโยค และเห็นว่าโหมวหยางยังคงเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่พูดถึงมันอีก
โหมวหยางหันไปมองยังยอดเขาสัตตบงกชอีกครั้ง
หนึ่งวันผ่านไปแล้ว ทั้งสองคนนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย
ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างใดบ้าง…
ถูกคุมขังในสถานที่แบบนั้น พวกเขายังจะสามารถสงบนิ่งได้จริงหรือ?
โหมวหยางขมวดคิ้วขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานก็กลับคืนสภาพปกติ เขาถอนสายตาออกมา จากนั้นก็หันไปให้ความสนใจกับวิหารไท่ซวีอีกครั้ง
ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม…จะต้องมีสักวันที่พวกเขาทนไม่ไหว
…
ยอดเขาสัตตบงกช
ภายในถ้ำ
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวกำลังนั่งสมาธิอยู่ตรงข้ามกัน
ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนนั้นมีกระดานหมากรุกที่ลำแสงสว่างสดใส
บนกระดานหมากรุกนั้น สองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด!
…หลังจากทั้งสองคนนี้พบว่าที่แห่งนี้คือภาพลวงตา ก็ไม่คิดที่จะออกไปแล้ว แต่กลับเริ่มเล่นวางหมากในที่แห่งนี้!
ฉู่หลิวเยว่จับคางของตัวเองด้วยมือข้างหนึ่ง นิ้วเรียวยาวแตะปลายคางแล้วเคาะเบาๆ ดวงตาทั้งคู่จดจ้องที่หมากกระดานแผ่นนั้น
หลังจากผ่านมาสักพักดวงตาของนางก็เปล่งประกายและวางหมากลงอีกครั้ง!
………………..