ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1746 เจ้ายังไม่เคยลองเลย
ตอนที่ 1746 เจ้ายังไม่เคยลองเลย
………………..
ทั้งสองคนเล่นหมากด้วยความสนุกและผ่อนคลาย
ตอนที่ผู้คนกำลังหมกมุ่นกับอันใดบางอย่าง เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่วิ่งวุ่นอยู่กับการไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงและสุสานสังหารเทพ
ทั้งสองคนแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวเลย แม้กระทั่งการพูดคุยกันดีๆ ก็ยังเป็นเรื่องยากลำบาก
ในที่สุดตอนนี้ก็นับว่าได้มีเวลาพักผ่อน ได้เล่นหมากรุก ได้พูดคุยกัน
ประเด็นที่สำคัญเลยก็คือ ไม่มีใครมารบกวน พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
โอรสสวรรค์เองก็รู้สึกพึงพอใจ
“ข้าชนะแล้ว!”
แววตาของฉู่หลิวเยว่เปล่งประกาย ไม่สามารถปกปิดความยินดีได้มิด
หรงซิวเองก็ยิ้มออกมาท่าทางผ่อนคลายแลเกียจคร้าน
“เยว่เออร์ เหมือนว่าเจ้าจะก้าวหน้ามากเลยทีเดียว”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”
หรงซิวยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้า
“ข้านั้นหมายความว่า หลังจากที่เจ้าออกมาจากสุสานสังหารเทพ เหมือนว่า…เจ้าจะดูมีความก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด”
ตอนที่ลงหมาก การเคลื่อนไหวของนางแตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก
เหมือนกับว่า…นางสามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งมากยิ่งขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มพิจารณาอย่างจริงจัง
เหมือนกับว่า…นางรู้ได้ด้วยตนเองว่าควรจะเดินทางอย่างใดต่อไป
ทันใดนั้นเองฉู่หลิวเยว่ก็ตกตะลึงไป
หรือเป็นเพราะว่า…ก่อนหน้านี้นางได้อ่านเนื้อเพลงฉินหมื่นแผ่นจากภายในสุสานสังหารเทพมาแล้ว
หลังจากเอาชนะเนื้อเพลงฉินทีละแผ่นอย่างยากลำบาก เมื่อนางเห็นสิ่งเหล่านี้ในตอนนี้แล้ว นางก็รู้สึกมันง่ายดายขึ้นไม่น้อย
หรงซิวมองนางด้วยรอยยิ้ม
“ข้าแพ้แล้ว พระชายาตบรางวัลให้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฉู่หลิวเยว่ดึงสติกลับมา จากนั้นก็เหลือบสายตามองเขา
“ฝ่าบาท ช่วยรักษาภาพลักษณ์หน่อยได้หรือไม่? หากท่านเป็นคนชนะก็ช่างเถอะ ตอนนี้ท่านแพ้แล้ว แล้วยังจะเรียกรางวัลอันใดอีก?”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดคล้อยตามว่า
“รางวัลไม่มี แต่คงต้องมีของปลอบใจใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ “…ไม่มี”
ขณะที่พูด นางก็ปัดฝ่ามือขึ้นเบาๆ ตัวหมากรุกที่อยู่บนกระดานก็กระจัดกระจายหายไปทั้งหมด
“เอาใหม่”
ในตอนนี้นางต้องการทราบว่า สิ่งที่นางคาดเดานั้นเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่!
แต่หรงซิวกลับไม่ทำ
มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดว่า
“ข้าเหนื่อยมากแล้ว ทำต่อไปไม่ไหว”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เพิ่งผ่านไปไม่นานเท่านั้นเอง คาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดว่า เหนื่อยมาก ทำต่อไปไม่ไหว?
แม้ว่าการเล่นหมากรุกแบบนี้จะต้องสูญเสียพลังปราณดั้งเดิมและสมาธิเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของหรงซิว มันดูไม่มีความน่าเชื่อถือเลย
ทันทีที่นางพูดจบ ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิรอบกายลดต่ำลงอย่างกะทันหัน!
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพรวด ก่อนจะเดินเข้ามาหานาง
ทันทีที่เขาสาวเท้าออกมา กระดานหมากรุกที่อยู่ระหว่างเขาทั้งสองคนก็เกิดการสั่นไหวราวระลอกคลื่น แล้วมันก็กลายเป็นลำแสงจำนวนมากและลอยหายไปในที่สุด
ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนนั้นหดสั้นลงเรื่อยๆ ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็เดินมาอยู่ตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่แล้ว
ฉู่หลิวเยว่นั่งอยู่ ส่วนเขากำลังยืน ซึ่งทำให้รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงมา
ใบหน้าที่หล่อเหลาและน่าหลงใหลขยับเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน ลมหายใจที่อุ่นร้อนรดลงบริเวณใบหน้า
หัวใจของฉู่หลิวเยว่ตึงเครียดขึ้นมาในทันที
ในตอนนี้นางสามารถสัมผัสได้ถึงอันตราย!
“เยว่เออร์”
หรงซิวอยู่ใกล้กับนางมาก ขณะที่พูด พวกเขาก็ใช้ลมหายใจเดียวกัน ลมปราณทั้งสองประสานกัน
เหมือนว่าเขากำลังหัวเราะ เสียงที่อยู่ในลำคอนั้นทุ้มต่ำ จึงทำให้ผู้คนรู้สึกเร่าร้อน
เขายื่นมือออกมาแล้วจับปลายคางของนางเอาไว้เพื่อไม่ให้นางหนีไปไหนได้
นิ้วอันหยาบกระด้างลูบริมฝีปากแดงอันอ่อนนุ่มของนางอย่างแผ่วเบา
จากนั้นลมหายใจของเขาก็หนักหน่วงขึ้น
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นระรัว
เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เอียงศีรษะเล็กน้อย เขากระซิบเสียงทุ้มต่ำที่ข้างใบหูขาวของนางว่า
“เจ้ายังไม่เคยลอง เจ้าจะรู้ได้อย่างใด?”
ครึ่งร่างของฉู่หลิวเยว่ชาหนึบ
หรงซิวรู้สึกพึงพอใจอย่างมากเมื่อเห็นใบหูขาวของนางนั้นขึ้นสีแดงก่ำอย่างรวดเร็ว!
ผิวกายสีแดงก่ำนี้ เหมือนเป็นการจุดไฟบนหัวใจของหรงซิวมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็ขบใบหูส่วนล่างที่บอบบางของนาง
ฉู่หลิวเยว่ตกใจสะดุ้งเฮือก แล้วหดคอลงอย่างไม่รู้ตัว เสียงอุทานแผ่วเบาดังขึ้นจากลำคอ
หวาน นิ่ม
ทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งร่าง
คำพูดของเขานั้นคลุมเครือ แต่กระแทกเข้าที่จิตใจของนางทุกคำ
“ในเมื่อเยว่เออร์ไม่ให้ ข้าก็จะขอเอง!”
…
ด้านนอกยอดเขาสัตตบงกช การคุ้มกันเข้มงวด
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งหันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้
เงียบเชียบ เย็นยะเยือก
นอกจากบริเวณไหล่เขาที่ถูกหรงซิวเผาไปในวันแรกก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดอีก
“นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เหตุใดพวกเขาถึงยังไม่มีการเคลื่อนไหวอันใดเลย? ทางด้านประมุขถามย้ำมาสองรอบแล้วนะ”
ผู้คุ้มกันอีกคนหนึ่งก็หันไปมอง พร้อมขมวดคิ้วขึ้น
“จะว่าไปแล้วก็ใช่ ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา แต่เป็นยอดเขาสัตตบงกชเชียวนะ! กระทั่งคนในเผ่าที่ถูกคุมขังอยู่ที่นี่ อย่างมากที่สุดก็อดทนได้เพียงสามวันเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสองคนนั้นที่เป็นเผ่ามนุษย์เลย…”
หลังจากหรงซิวและซั่งกวนเยว่ที่ถูกคุมขังที่นี่ พวกเขาก็รู้สึกตึงเครียดอยู่ตลอด ไม่กล้าหย่อนยานเลยแม้แต่น้อย พวกเขารอคอยให้ทั้งสองคนพูดคำว่ายอมแพ้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ตามประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น ไม่มีทางใช้เวลานานเกินไป
แต่ใครจะรู้เล่าว่านี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ด้านในนั้นยังดูปกติอย่างมาก!
“ไม่มีทางหรอก…หรือว่าพวกเขาทั้งสองจะหมดสติอยู่ด้านใน ดังนั้น…”
“เป็นไปไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขาก็จะถูกส่งออกไปโดยตรง ไม่เหมือนเช่นตอนนี้…ที่ไม่มีสัญญาณใดๆ เลย”
ทั้งสองคนเงียบเสียงไป
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว พวกเขาทั้งสองก็ทำได้เพียงรอต่อไป
“…ทางด้านวิหารไท่ซวีเหมือนว่าจะมีคนตกรอบครึ่งหนึ่งแล้ว”
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเปลี่ยนเรื่องคุย
อีกคนหนึ่งก็เห็นด้วย
“นี่เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น สำหรับคนเหล่านั้นงานหมื่นคีรีโอกาสดีที่จะได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วก็เป็นแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้น”
การแข่งขันภายในเผ่าก็ดุเดือดเป็นอย่างมาก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา
“ก็จริง”
ผู้คุ้มกันอีกคนหนึ่งตอบรับ แต่กลับไม่ได้พูดอันใดต่อ
…
ด้านนอกเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์
บนยอดเขาร้างแห่งหนึ่ง ถวนจื่อมองหนานซู่ไหวแล้วกะพริบตาปริบๆ ยากจะปกปิดความตื่นเต้นยินดี
“ท่านปู่เจ้าสำนัก วิธีนี้จะใช้ได้จริงหรือ”