ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1752 วิหารไท่ซวี
ตอนที่ 1752 วิหารไท่ซวี
………………..
แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นเกิดขึ้นเพียงครู่เดียว วินาทีต่อมา รอบข้างก็มีแตกร้าวดังขึ้น!
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว พื้นที่บริเวณรอบข้างพังทลายลง!
ภาพมายาพังทลายลงไปแล้ว!
หรงซิวรีบคว้าเอวของนางเอาไว้ในทันที!
เปรี้ยง!
ความว่างเปล่าแตกสลายอย่างสมบูรณ์!
เงาร่างของคนทั้งหลายหายไปจากที่เดิมในทันที!
ในขณะเดียวกันนั้นเองค่ายกลเคลื่อนย้ายภายในถ้ำก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน!
…
ด้านนอกเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นหนานซู่ไหวก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ในแววตามีความตกใจพาดผ่าน!
ทันใดนั้นเองค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ตรงหน้าเขาก็หม่นแสงลงไปครึ่งหนึ่งอย่างกะทันหัน!
ซั่งกวนจิ้งและฉู่หนิงที่ได้ยินภาพเหตุการณ์นี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“นี่มันหมายความว่าอย่างใด? มันเกิดอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
ซั่งกวนจิ้งถามขึ้นอย่างรีบร้อน
หนานซู่ไหวไม่ได้ตอบคำถามของเขาในทันที เพียงแต่กัดฟันกรอด จากนั้นก็ถ่ายเทพลังปราณดั้งเดิมลงไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายนั้น
จากนั้นแสงที่หม่นลงก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง
แผ่นหลังของเขามีเหงื่อเย็นๆ ไหลท่วม!
เมื่อดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ซั่งกวนจิ้งและฉู่หนิงก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ฉู่หนิงซักถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้…ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง”
“ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง? นี่มัน…”
ฉู่หนิงขมวดคิ้วแน่นเป็นปม แต่ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย
ซั่งกวนจิ้งเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้ามืดครึ้มเต็มไปด้วยความกังวล
หนานซู่ไหวพูดอธิบายขึ้นมาว่า
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายทั่วไป หากได้รับผลกระทบจากภายนอกก็อาจจะทำให้พังทลายได้ แต่ค่ายกลเคลื่อนย้ายของพวกเรานั้นไม่เหมือนกัน หากถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งแล้วนั่นก็หมายความว่า…ปลายทางอีกด้านหนึ่งของค่ายกลเคลื่อนย้ายจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์”
ฉู่หนิงตอบสนองขึ้นทันที
“เช่นนั้น…ก็หมายความว่า พวกเขาไม่สามารถกลับมาได้แล้วหรือ?”
หนานซู่ไหวส่ายหน้า
“ไม่แน่หรอก ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ไม่เหมือนกับค่ายกลเคลื่อนย้ายทั่วไป หากถูกทำลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ทางนี้ยังสมบูรณ์ ถ้าพวกเขาสามารถซ่อมแซมค่ายกลเคลื่อนย้ายส่วนนั้นได้ ก็ยังสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
คำพูดประโยคนี้ไม่ได้ทำให้ฉู่หนิงรู้สึกสบายใจขึ้นเลย
พูดน่ะมันง่าย แต่เวลาทำมันง่ายดายเช่นนี้ที่ไหนกัน
ก่อนหน้านี้หนานซู่ไหวยังเคยพูดเอาไว้ว่า นอกจากตำแหน่งเจ้าสำนัก คนอื่นๆ ล้วนไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียนรู้ค่ายกลแห่งนี้
แล้วเยว่เอ๋อร์จะสามารถซ่อมแซมค่ายกลนี้และกลับมาได้อย่างไร?
หนานซู่ไหวรู้ดีว่าฉู่หนิงกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ จึงพูดปลอบใจขึ้นมาว่า
“ฉู่หนิง นางเคยศึกษาค่ายกลแห่งนี้แล้ว แม้ว่าด้วยพลังของนางในตอนนี้จะไม่สามารถสร้างค่ายกลขึ้นมาได้ แต่นางยังมีหรงซิวอยู่ข้างกาย หากทั้งสองคนร่วมมือกันก็ใช่ว่าจะไม่มีหวัง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ในที่สุดฉู่หนิงก็ใจเย็นลงมาได้
“จริงหรือ?”
“เยว่เอ๋อร์เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของข้า พรสวรรค์ของนางยอดเยี่ยม อีกทั้งข้ายังเห็นนางเป็นผู้สืบทอดมาโดยตลอด ข้าถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดที่ให้ไป แม้ว่าข้าจะยังไม่เคยสอนรูปแบบของค่ายกลแห่งนี้ให้นางอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยให้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลนี้ให้นางได้ศึกษาแล้ว หากนางเกิดความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง นางก็จะสามารถก่อร่างสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกครึ่งหนึ่ง และออกจากเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์มาได้แน่นอน!”
เมื่อได้ยินหนานซู่ไหวพูดเช่นนั้น ฉู่หนิงก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา
แม้ว่าเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ก็ดีกว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เยว่เอ๋อร์ฉลาดหลักแหลม กอปรกับยังมีหรงซิว บางทีอาจจะสามารถสร้างได้จริงๆ…
ซั่งกวนจิ้งกลับกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่
“ก่อนหน้านี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายนั้นยังดีๆ อยู่เลย แต่เหตุใดถึงถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งได้เล่า?”
ทันทีที่สิ้นเสียง หนานซู่ไหวและฉู่หนิงก็เงียบเสียงลงอย่างกะทันหัน
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ฝั่งนั้นจะต้องเกิดเรื่องอย่างแน่นอน
“…หรือว่าถวนจื่อจะถูกจับได้แล้ว? หรือบางทีอาจจะประสบปัญหาอื่น?”
ซั่งกวนจิ้งขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เกรงว่าพวกเขาจะต้องยุ่งยากแล้ว
หนานซู่ไหวหันกลับไปมองทางเกาะมังหรศักดิ์สิทธิ์อย่างกะทันหัน
ทันใดนั้นเองเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“เหมือนว่าทางเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ยังจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรที่ยิ่งใหญ่นัก พวกเรารอดูสถานการณ์ไปก่อนจะดีกว่า”
หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงจะต้องส่งคนมาล้อมตัวพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นอน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยตัดสินใจน่าจะดีที่สุด
หลังจากซั่งกวนจิ้งและฉู่หนิงพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
ฉู่หนิงถอนหายใจเบาๆ
“ตอนนี้หวังเพียงว่าทุกอย่างจะราบรื่นและปลอดภัย…”
ผู้คุ้มกันทั้งสองคนหันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง ใบหน้ามีความตื่นเต้นและยินดีที่ยากจะปิดบัง
“ในที่สุดพวกเขาจะออกมาแล้วหรือ?”
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืน พวกเขารอจนดอกไม้ร่วงโรยแล้ว ความจริงแล้วพวกเขารู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามทั้งสองคนนี้ก็มีฐานะที่พิเศษ และท่านประมุขก็ออกคำสั่งให้พวกเขาเฝ้าอีกฝ่ายโดยเฉพาะ พวกเขาจึงไม่กล้าผ่อนปรนแม้แต่น้อย จิตวิญญาณตึงเครียดอยู่เสมอ พวกเขาจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
ถ้าสองคนนั้นออกมาในตอนนี้ พวกเขาก็จะได้รับการปลดปล่อยเสียที
แต่หลังจากรออยู่สักพักหนึ่งแล้ว บริเวณปากถ้ำของยอดเขาสัตตบงกชก็ยังไม่มีใครออกมาเลยแม้แต่คนเดียว
อีกทั้งระลอกคลื่นที่ดึงดูดความสนใจเขาในก่อนหน้านี้ก็ยังจางหายไปหมดแล้วด้วย
ทุกอย่างสงบราบเรียบเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งสองคนมองหน้ากันไปมา
“นี่…นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
หรือว่าพวกเขาจะเห็นภาพลวงตากันทั้งคู่?
แต่นี่มันเป็นไปไม่ได้!
“จะเข้าไปดูหน่อยหรือไม่?”
หนึ่งในผู้คุ้มกันถามขึ้นมา
ส่วนอีกคนหนึ่งก็หันมองหน้าเขา
“ท่านประมุขพูดแค่ว่าให้พวกเราเฝ้าอยู่ที่ด้านหน้ายอดเขาสัตตบงกช ไม่ได้บอกให้พวกเราเข้าไปเสียหน่อย!”
สถานที่แห่งนี้สำหรับเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงแล้ว นับว่าเป็นดินแดนต้องห้ามโดยปริยาย
ต่อให้พวกเขาได้รับอนุญาต แต่ก็ไม่มีไท่ซวีเฟิ่งหลงคนใดอยากเข้าไปด้านในนี้
“จะว่าไปมันก็ใช่…เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างใดดี?”
“รอไปก่อนเถอะ! ม่านพลังของยอดเขาสัตตบงกชแข็งแกร่งมาก ต่อให้พวกเขามีปีกก็หนีไม่พ้น แล้วเจ้ายังจะต้องกังวลอันใดอีก?”
“ก็จริง!”
พวกเขาเชื่อใจในม่านพลังของยอดเขาสัตตบงกชเป็นอย่างมาก และไม่เชื่อว่าเผ่ามนุษย์จะสามารถทำอะไรกับมันได้
ยิ่งไปกว่านั้นที่แห่งนี้คือถิ่นของพวกเขา
แต่ตอนนี้พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวได้ออกจากการทรมานของยอดเขาสัตตบงกชแห่งนี้แล้ว!
…
ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ถูกดึงเข้าไปในความว่างเปล่า หลังจากอยู่ในความมืดมิดอันยาวนาน ในที่สุดเท้าของพวกเขาก็ได้แตะพื้นดินอีกครั้ง
ลำแสงจางๆ สาดส่องมาจากทุกทิศทุกทาง
หลังจากอยู่ภายในถ้ำที่มืดมิดมาเป็นเวลานาน ฉู่หลิวเยว่จึงปรับสายตาได้ช้าเล็กน้อย
นางหรี่ตาลง ก่อนจะกวาดสายตามองรอบข้าง
ภาพที่นางเห็นทำให้นางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในท้องพระโรงที่กว้างขวางและเก่าแก่!
บนพื้นผูกปูด้วยหินหยกสีดำจนเต็มพื้นที่ ตรงกลางของท้องพระโรงนี้ มีเสาหยกสีขาวขนาดประมาณสิบคนโอบ
ด้านบนแกะสลักลายเมฆา และมีไท่ซวีเฟิ่งหลงตัวหนึ่งที่เสมือนจริงเป็นอย่างมาก!
นั่นคือเสามังกรเคลื่อน!
แรงกดดันที่แข็งแกร่งแผ่ออกมาจากไท่ซวีเฟิ่งหลงแกะสลักตัวนั้นแข็งแกร่งจนทุกคนตกใจ!
ในตอนนี้อีกฝ่ายกำลังจ้องมองพวกเขา ท่าทางน่าเกรงขามและสง่างาม!
ทันใดนั้นเองฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ที่แห่งนี้คือ…วิหารไท่ซวี!”