ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1754 โหมวเจิน
ตอนที่ 1754 โหมวเจิน
………………..
หลังจากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่นาง
สายตานั้นคมกริบและกระจ่างชัด นางมีความรู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถมองนางออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
“มนุษย์สองคน คาดไม่ถึงว่ายังมีหงส์ทองคำอีกหนึ่งตัว?”
ภายในน้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความตกใจอยู่หลายส่วน
เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ นั้นทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
หลังจากผ่านไปสักพักเสียงนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
“ข้าก็หลงคิดว่าจะมีทายาทคนใดที่มีพรสวรรค์ระดับสุดยอดจนสามารถหาที่นี่จนพบ แต่ที่แท้…ก็เป็นอินทรีสามตาที่ได้ผสานร่างกายเข้ากับกระดูกของไท่ซวีเฟิ่งหลง”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที
คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสามารถมองฐานะและตัวตนของพวกเขาออกได้ในทันที!
นางกำลังเอ่ยปากพูด หรงซิวกลับพูดขึ้นก่อนว่า
“ข้าและคนอื่น ๆ ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะบุกเข้ามารบกวนผู้อาวุโสที่นี่โดยพละการ หวังว่าผู้อาวุโสจะให้อภัย”
หลังจากจมอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง หมอกสีขาวบนพื้นน้ำก็รวมตัวกันขึ้นอย่างกะทันหัน
ภายในชั่วพริบตาเดียวก็ก่อตัวขึ้นเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง
“พวกเจ้าเดินมานี่”
ภายในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามที่ไม่อาจต้านทานได้!
หรงซิวและฉู่หลิวเยว่หันมองหน้ากัน
แต่จื่อเฉินกลับเดินขึ้นไปด้านหน้าแล้ว
หรงซิวพยักหน้าเบาๆ
ทั้งสองคนเดินติดตามไปด้านหลัง
ต้นไม้ขึ้นทึบ บนพื้นมีใบไม้ร่วงมากมาย
ขณะที่เหยียบไปนั้น ก็มีเสียงดัง “สวบสาบ” ตามมา
ลมพัดผ่านเล็กน้อย หอบพากลิ่นหอมของต้นไม้อ่อนๆ มาด้วยหลายส่วน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ดูเหมือนกับป่าธรรมดาไม่มีผิด
เขาเดินผ่านป่าแห่งนี้ไปด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหยุดยืนที่ด้านข้างทะเลสาบ
ทะเลสาบแห่งนี้ไม่นับว่ามีขนาดใหญ่ แต่น้ำนิ่งไหลลึก เหนือพื้นน้ำมีแสงสว่างเรืองรองส่องอยู่จางๆ
ถ้าไม่มองไปที่ภาพมายาที่ยืนอยู่ในความว่างเปล่าท่ามกลางทะเลสาบแล้ว สถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับการพักผ่อนเป็นอย่างมาก
แต่เสียดายที่ตอนนี้ ฉู่หลิวเยว่ไม่มีแก่ใจจะมาชื่นชมความงาม
นางรู้ดีว่า คนที่อยู่ตรงหน้านี้คือคนของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง!
ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ นางก็สามารถมองได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ผู้ชายคนนี้ดูแล้วมีอายุประมาณสามสิบถึงสี่สิบปี สวมชุดคลุมยาว ใบหน้าธรรมดา ไว้หนวดเครายาว
เมื่อดูไปแล้ว ก็ดูปกติอย่างมากไม่มีอะไรที่พิเศษ
แต่ลมปราณที่น่าตกใจบริเวณรอบกายของชายคนนี้นั้นกลับบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
ฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับโหมวหยางแล้ว ชายผู้นี้ใจกว้างกว่าแน่นอน!
“แน่นอนว่าพวกเจ้าไม่ได้เข้ามาที่นี่ด้วยความบังเอิญ”
ชายผู้นั้นหัวเราะขึ้น
“เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยปล่อยให้พวกมนุษย์เข้ามา แต่พวกเจ้ากลับมาอยู่ที่นี่ได้ ดังนั้นจะต้องไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หลังจากคนเหล่านั้นของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงที่เห็นนางกับหรงซิวแล้ว ต่างมีท่าทีไม่พอใจ แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับชายผู้นี้ เขาเหมือนจะไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ต้องบอกก่อนว่านอกจากพวกเขาสองคนแล้ว ยังมีถวนจื่ออีกด้วย!
“ไม่ต้องสงสัย ข้าไม่ได้ยินดีที่พวกเจ้าจะเข้ามา เพียงแต่…อินทรีสามตาตัวนั้น มีวาสนากับข้า เพื่อเห็นแก่หน้าของมัน ข้าจะไม่ถือโทษโกรธพวกเจ้า”
สายตาหลายคู่หันไปมองทางจื่อเฉิน
ชายผู้นั้นถอนหายใจออกมา แล้วหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“เดิมทีข้าคิดว่าจะมีทายาทที่เฉลียวฉลาดมาที่นี่ แต่ใครจะรู้เล่าว่า…นั่นไม่มีความหมายเลย พลังแห่งสายเลือดไท่ซวีเฟิ่งหลงที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเจ้า ทำให้ต้องนับว่าเจ้าเป็นคนของเผ่าเราครึ่งหนึ่ง”
หนังตาของฉู่หลิวเยว่กระตุก
คนผู้นี้…จะมีนิสัยเอาแต่ใจ…
อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลอย่างเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงให้ความสำคัญกับสายเลือดมากที่สุด
สำหรับพวกเขาแล้วคนอย่างจื่อเฉินนั้น นับว่าเป็นคนต่างเผ่าพันธุ์ การมีอยู่ของเขาทำให้สายเลือดหม่นหมอง
แต่เหมือนว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางเหมือนจะไม่ได้คิดเช่นนั้น?
“แน่นอนว่า เดิมทีเรื่องนี้ไม่ควรจะคิดเช่นนี้ แต่…ในเมื่อเจ้าหลอมสายเลือดกับข้าแล้ว ข้าก็จะนับว่าเจ้าเป็นคนของพวกเรา”
คำพูดประโยคนี้เหมือนกับการเทน้ำลงในหม้อน้ำมัน จนทำให้เปลวเพลิงกระจายออกมาทั่วทุกสารทิศ!
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ พร้อมมองชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ภายในใจมีพายุโหมกระหน่ำเกิดขึ้น!
เขาบอกว่า…จื่อเฉินหลอมสายเลือดกับเขาแล้วหรือ?
เหมือนว่าฐานะของเขาจะถูกเปิดเผยออกมาแล้ว!
“ท่าน…ท่านคือคนที่ถูกขังอยู่ในยอดเขาสัตตบงกชนั้นหรือเจ้าคะ?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ยอดเขาสัตตบงกช’ ใบหน้าของเขาก็มีความดำมืดฉายชัด
“ถูกต้อง”
หรงซิวกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ประสานมือทำความเคารพ
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสโหมวเจิน ผู้น้อยเสียมารยาทแล้ว”
โหมวเจินหันมองเขาด้วยความตกใจ
“ผู้อาวุโสโหมวเจินเป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปีของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง ชื่อเสียงโด่งดัง แน่นอนว่าข้าจะต้องเคยได้ยินมาบ้าง”
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ลอบยกนิ้วโป้งให้แก่โอรสสวรรค์ในใจ
คำพูดประโยคนี้ ชื่นชมได้ยอดเยี่ยมจริงๆ
สีหน้าของโหมวเจินดีขึ้นมาไม่น้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะเยาะตนเอง
“อดีตที่งดงามจางหายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงแค่วิญญาณตนหนึ่ง ที่หลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันมาพันปีแล้ว! แล้วมันแตกต่างจากความตายอย่างไรกัน?”
ฉู่หลิวเยว่กลั้นลมหายใจ
โหมวเจิน!
คาดไม่ถึงว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่!
ตามข่าวลือบอกว่าเขาธาตุไฟเข้าแทรก คืนหนึ่งได้สังหารคนไปเจ็ดคน จนสุดท้ายเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงก็ตัดสินโทษประหาร คาดไม่ถึงว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่ภายในเสามังกรเคลื่อนแห่งวิหารไท่ซวี!
เกรงว่าโหมวหยางและคนอื่นๆ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่ในภายในนี้!
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ท่านยังมีชีวิตอยู่ มรดกแห่งบรรพบุรุษก็ยังอยู่บนร่างกายของท่าน ดังนั้นฐานะของท่านซึ่งแตกต่างจากวิญญาณ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงเป็นอย่างมาก!
หัวใจของนางกระตุกวูบ!
แต่หรงซิวยังมีสีหน้าไม่รีบไม่ร้อน นางก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวเช่นกัน
ตอนที่ลมปราณอันเฉียบคมกำลังจะผ่าร่างของพวกเขา ในที่สุดมันก็หยุดชะงักลง!
โหมวเจินหันมองหรงซิวด้วยความเย็นชา
“เด็กอย่างเจ้าก็ใจกล้าไม่เบา!”
เมื่ออยู่ต่อหน้าก็ยังกล้าพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา!
คนที่รู้ว่ามรดกนั้นยังอยู่กับเขา บนโลกนี้มีไม่ถึงสามคนเท่านั้น!
เจ้าเด็กคนนี้ใจกล้านัก!
สีหน้าของหรงซิวยังคงไม่เปลี่ยน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นเสียงเรียบว่า
“ในเมื่อพวกเราติดตามจื่อเฉินมาที่นี่ การคาดเดาเรื่องเหล่านี้ก็คงไม่ยาก จะให้ข้าเสแสร้งต่อหน้าท่านนั้น มันจะมีประโยชน์อันใด?”
หากทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้โหมวเจินรู้สึกว่าพวกเขาไม่น่าเชื่อถือและหลอกลวง
เขาจึงเลือกที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา
โหมวเจินจ้องมองหรงซิวตาเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง ความเย็นชาบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป
“นับว่าเจ้าใจกล้ามาก”
………………..