ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1755 เจ้าอยากมอบให้ แต่ข้าไม่อยากรับ
ตอนที่ 1755 เจ้าอยากมอบให้ แต่ข้าไม่อยากรับ
………………..
“ถูกต้อง ข้าทิ้งเบาะแสหนึ่งเอาไว้ในถ้ำแห่งยอดเขาสัตตบงกช ข้าหวังว่าคนรุ่นหลังจะสามารถตามหาที่นี่ได้จนพบ แต่เวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย เดิมทีข้าได้ละทิ้งความหวังทั้งหมดเอาไว้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า…”
โหมวเจินเหลือบสายตาไปมองทางจื่อเฉิน ด้วยแววตาดำมืด
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีอินทรีสามตาปรากฏตัวขึ้นได้…
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ผู้อาวุโสโหมวเจิน หลังจากที่ท่านออกจากยอดเขาสัตตบงกชแล้วแทบจะไม่มีใครเข้าไปในที่แห่งนั้นเลย แต่ครั้งนี้พวกเราถูกคุมขังอยู่ที่นั่น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมาก”
จากนั้นนางก็เล่าเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ
แน่นอนว่า นางพูดเพียงว่าก่อนหน้านี้พวกนางมาจากสุสานสังหารเทพ ส่วนเรื่องที่เกิดภายในสุสานสังหารเทพนั้นนางไม่ได้กล่าวถึง
โหมวเจินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา
“โหมวหยางเกลียดแค้นข้าถึงกระดูกดำ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยินยอมให้คนอื่นๆ เข้าไปในยอดเขาสัตตบงกชโดยพลการเด็ดขาด”
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรออยู่ที่นี่เป็นเวลาพันกว่าปีแล้ว!
“หรือว่าในตอนที่ท่านเกิดเรื่อง ประมุขโหมวหยางจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย?”
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
โหมวเจินแค่นหัวเราะหนึ่งเสียง
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเจ้าก็หาที่นี่เจอแล้ว ก็น่าจะเดาได้พอประมาณ ดังนั้นข้าจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังพวกเจ้าอีก”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในใจ
“ถูกต้อง ในปีนั้นข้าถูกเขาทำร้ายจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ และเขาเป็นคนสังหารไท่ซวีเฟิ่งหลงทั้งเจ็ดนั้น พร้อมโยนความผิดทั้งหมดมาใส่ตัวข้า และก็เป็นเขาที่ขังข้าไว้ที่ยอดเขาสัตตบงกช อีกทั้งพยายามจะแย่งชิงพลังแห่งสายเลือดของข้า! แต่น่าเสียดายที่เขาทำพลาดไปก้าวเดียว จนสุดท้ายข้าก็หนีออกมาได้!”
แม้ว่าราคาที่เขาจะต้องจ่ายจะต้องเจ็บปวดทรมานมากก็ตาม!
แม้ว่าจะเป็นตามที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้แปดเก้าส่วน แต่เมื่อได้ยินเจ้าตัวพูดด้วยตนเอง เขาก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ดี
นี่เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง!
“เช่นนั้น…เรื่องที่ท่านยังไม่ตาย เขายังไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”
เรื่องนี้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
ในเมื่อโหมวหยางพยายามจะจัดการโหมวเจินอย่างสุดกำลัง ดังนั้นเขาจะต้องอยากสังหารอีกฝ่ายให้ตายอย่างแน่นอน
หรือว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เขาไม่เกิดความสงสัยเลยแม้แต่น้อย?
แต่โหมวเจินกลับหัวเราะเสียงดังขึ้นมาราวกับได้ยินเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและแห้งกร้าน เสียงหัวเราะราวกับอัสนีที่กระแทกเข้าที่โสตประสาท จนทำให้คนตื่นตระหนกตกใจอย่างมาก!
“ฮ่าๆ! นางหนูผู้นี้ เจ้าประเมินโหมวหยางสูงเกินไปแล้ว และดูแคลนโหมวเจินคนนี้ต่ำเกินไป! หากปีนั้นข้าไม่อยู่ในช่วงสำคัญที่จำเป็นต้องทะลวงด่าน เจ้าคนน่ารังเกียจผู้นั้นจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อย่างไร!”
ภายในน้ำเสียงของเขามีความสูงส่งและเย่อหยิ่งอย่างไม่ปิดบัง
เขาจะต้องมีความแข็งแกร่งอย่างมาก ถึงจะมีความมั่นใจเช่นนี้ได้!
เมื่อเปรียบเทียบกับคนหน้าเนื้อใจเสือและไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ที่แท้จริงอย่างโหมวหยางนั้น ฉู่หลิวเยว่กลับชื่นชมคนที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า
ทั้งสุขทั้งเศร้า ทั้งหัวเราะทั้งสาปแช่ง ทั้งท่าทีกำเริบเสิบสาน ตรงไปตรงมาไม่ปิดบัง!
เมื่อถูกทำลายจนถึงขนาดนี้แล้ว ด้วยพลังระดับนั้น ยากจะจินตนาการได้ว่า หากในปีนั้นไม่ได้เกิดเรื่องเช่นนั้น…ตอนนี้โหมวเจินจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับใดกัน!
น่าเสียดายแล้ว…
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง โหมวเจินก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดต่อว่า
“หลังจากบรรพบุรุษเสียชีวิตลง ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นโลกใบนี้ มรดกสืบทอดที่อยู่ภายในเผ่าก็ถูกซ่อนเอาไว้ทั้งหมดที่นี่ ทุกครั้งที่มีงานหมื่นคีรี เหล่าชนรุ่นเยาว์ก็จะเข้ามาในที่นี่ แล้วค้นหามรดกที่เหมาะสมกับตนเอง”
“ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง ต่อให้โหมวหยางจะกลายเป็นประมุขของเผ่าแล้ว เขาก็ไม่มีทางเข้ามาค้นหาที่แห่งนี้ได้! ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าจึงสามารถหลบซ่อนอยู่ที่นี่ได้เป็นพันปี และโหมวหยางก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย”
“ผู้อาวุโสโหมวเจิน ทั้งชีวิตนี้เผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงมีโอกาสเข้ามาภายในที่แห่งนี้ได้เพียงครั้งเดียวใช่หรือไม่? แล้วท่าน…”
โหมวเจินหัวเราะขึ้นมา
“บนตัวของข้ามีมรดกของบรรพบุรุษอยู่ แน่นอนว่าข้าสามารถเข้ามาที่นี่ได้ทุกเมื่อตามต้องการ! ในปีนั้นโหมวหยางคิดว่าร่างกายสูญสลายวิญญาณมอดม้วย หากต้องการจะเอามรดกจากตัวข้าคงไม่มีทางทำได้ แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่า ข้าจะยังอยู่ที่นี่!”
อย่างนี้นี่เอง!
หากตอนที่โหมวหยางได้รับรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะทำสีหน้าเช่นไรกันแน่?
เกรงว่าจะไม่สามารถรักษารอยยิ้มที่สงบและเสแสร้งนั้นได้แล้วสินะ?
จื่อเฉินพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า
“เช่นนั้นที่ท่านพาพวกเรามาที่นี่ ท่านต้องการอันใดกันแน่?”
สีหน้าของโหมวเจินค่อยๆ สงบลง
เขาหันมองทางจื่อเฉิน
“แน่นอนว่า…เพื่อมอบมรดกแห่งบรรพบุรุษให้ หาคนที่เหมาะสมมาเป็นทายาทสืบต่อ!”
…
ท่ามกลางป่าใหญ่ เพียงความเงียบกริบ
อากาศเหมือนจะถูกแช่แข็ง
ฉู่หลิวเยว่ใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าจะดึงสติกลับมาได้ จากนั้นค่อยตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของคำพูดโหมวเจิน
เขาต้องการจะให้จื่อเฉินเป็นทายาทสืบทอดมรดกแห่งบรรพบุรุษไท่ซวีฟิ่งหลงน่ะหรือ?
นี่เขาไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่!
อีกฝ่ายคืออินทรีสามตานะ!
แต่เหมือนว่าจื่อเฉินจะคาดเดาสิ่งเหล่านี้ได้ก่อนอยู่แล้ว หลังจากที่เขาเงียบไปสักพักหนึ่ง เขาก็พูดขึ้นมาเสียงเรียบว่า
“ผู้อาวุโสโหมวเจิน เกรงว่าข้าคงจะไม่เหมาะสม เดิมทีข้าเป็นหัวหน้าเผ่าอินทรีสามตา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะมาสืบทอดมรดกแห่งไท่ซวีฟิ่งหลง”
มรดกแห่งบรรพบุรุษอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลเชียวนะ!
ของที่ล้ำค่ามากขนาดนี้!
เป็นสิ่งที่สัตว์อสูรมากมายที่อยู่บนโลกแห่งนี้ต้องการอยากได้รับ ตอนนี้ไม่มาอยู่หน้าเขาแล้ว แต่เขากลับปฏิเสธ!
แต่จื่อเฉินไม่ต้องการจริงๆ
แม้ว่าเขาจะใช้ปีกของไท่ซวีฟิ่งหลงสร้างกายเนื้อให้กับตนเองอีกครั้ง อีกทั้งยังได้ประสานกับพลังแห่งสายเลือด แต่มันก็ยังจดจำฐานะของตนเองได้อยู่ตลอด
มันไม่ได้อยู่ในตระกูลไท่ซวีฟิ่งหลง
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ ปัจจุบันไม่ใช่ อนาคต…ก็จะไม่ใช่!
เหมือนว่าโหมวเจินก็คิดไม่ถึงว่าจื่อเฉินจะให้คำตอบเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เจ้าแน่ใจหรือ? โอกาสเช่นนี้ ในใต้หล้ามีเพียงคนเดียวที่จะได้รับมัน”
โหมวหยางเกลียดแค้นเขาเป็นอย่างมาก เขาย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงมรดกแห่งบรรพบุรุษนี้ไป แต่สุดท้ายก็ยังทำไม่สำเร็จ
แต่อินทรีสามตาตัวนี้…กลับพูดว่าไม่ต้องการน่ะหรือ?
จื่อเฉินพยักหน้า
“ข้าสามารถคืนพลังของท่านให้ได้”
เดิมทีเขาแค่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเรียกร้อง ดังนั้นจึงกลืนหยาดเลือดมันเข้าไป แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องการของสิ่งอื่นใด
โหมวเจินมีสีหน้ามืดครึ้ม
หลังจากที่เขาเห็นว่าเป็นอินทรีสามตาปรากฏตัวขึ้น ใช่ว่าภายในใจของเขาจะไม่มีความรู้สึกผิดหวัง
แต่เขาก็สามารถยอมรับความจริงได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งตัดสินใจแล้วว่าจะมอบมรดกแห่งบรรพบุรุษให้กับอีกฝ่าย
แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่า เขาไม่ต้องการ?
นี่ช่าง…ไม่รู้จักชั่วดีเลย
คำตอบของจื่อเฉินอยู่เกินกว่าที่เขาคาดเดาเอาไว้ ดังนั้นโหมวเจินจึงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะดึงสติกลับมาได้
เขาหัวเราะเสียงเย็นแล้วตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“ในตอนนี้ข้าไม่มีกายเนื้อ เก็บมรดกชิ้นนี้ไว้จะมีประโยชน์อันใด!”
ภายในทะเลสาบมีระลอกคลื่นเพิ่มขึ้น ใบไม้ที่อยู่รอบด้านปลิวไสว
ฟ้าดินทั้งหมดเหมือนจะได้รับแรงกระตุ้นจากความโกรธของโหมวเจิน
แต่จื่อเฉินยังคงนิ่งเงียบไม่ไหวติง สีหน้าก็ราบเรียบ
“มีสิ่งหนึ่ง ที่ท่านอาจจะยังไม่รู้ ข้าไม่ได้เป็นเพียงแค่หัวหน้าเผ่าอินทรีสามตา อีกทั้งยังเป็นสัตว์อสูรที่ทำพันธสัญญากับนางด้วย ผู้อาวุโสโหมวเจินท่านไม่รังเกียจจริงๆ หรือ?”
โหมวเจินตกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็หันไปมองทางฉู่หลิวเยว่
“ข้าด้วย! ข้าด้วย! ข้าก็เป็นอสูรในพันธสัญญาของอาเยว่!”
ถวนจื่อยกมือขึ้น สีหน้าภาคภูมิใจ นางพยายามอย่างหนักเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการมีตัวตน
ดวงตาของโหมวเจินเบิกกว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าว่าอันใดนะ!”