ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1756 พึงพอใจ
ตอนที่ 1756 พึงพอใจ
………………..
ในขณะนี้ความคิดของโหมวเจินวุ่นวายสับสน
มีความคิดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาในสมองของเขา
แม้ว่าอินทรีสามตาตัวนี้จะไม่ได้มีสายเลือดดั่งเช่นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลทั้งสอง แต่ก็นับว่ามีเกียรติมีศักดิ์ศรีไม่น้อย
คาดไม่ถึงว่าหัวหน้าเผ่าอินทรีสามตาที่อยู่ตรงหน้าเขาจะยินยอมทำพันธสัญญากับมนุษย์?
เแล้วยังมีเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นอีกด้วย!
แต่นางเป็นหงส์ทองคำที่แท้จริง!
พวกเขายอมลดศักดิ์ศรีนี้หรือ?
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวนี้ ไม่เพียงทำพันธสัญญากับมนุษย์ แต่ยังทำกับคนคนเดียวกัน!
เขาอยู่ในที่แห่งนี้นานเกินไปหน่อยหรือไม่ ทำไมโลกภายนอกถึงกลายเป็นเช่นนี้แล้ว?
แล้วอีกอย่าง ระยะเวลาพันปี เมื่อเปรียบเทียบกับหงส์ทองคำและอินทรีสามตาที่มีอายุขัยหลายหมื่นปีแล้ว มันก็ไม่ได้นับว่าแตกต่างกันเลยไม่ใช่หรือ?
แล้วเหตุใดถึง…
สีหน้าของโหมวเจินตะลึงค้าง เดี๋ยวหันมองถวนจื่อ อีกเดี๋ยวก็หันมองจื่อเฉิน นิ้วชี้ของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย
“เจ้า…พวกเจ้า…”
ดวงตาของถวนจื่อเปล่งประกาย แล้วพูดขึ้นอย่างโอ้อวดว่า
“ข้าอยู่กับอาเยว่นานกว่าจื่อเฉินเสียอีก!”
จื่อเฉินเหลือบสายตากลับมามองนาง
ถวนจื่อทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตา ก้อนเนื้อบนใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ดวงตาของจื่อเฉินขยับเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนสายตากลับอย่างไร้เสียง
โหมวเจินชี้นิ้วไปทางถวนจื่อ เขาเกือบจะหายใจไม่ออกแล้ว
เจ้าต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน เจ้าคือหงส์ทองคำอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลที่สูงส่ง!
ที่เจ้าทำท่าทางดีใจลิงโลด เผ่าของเจ้ารู้หรือไม่เนี่ย?
แม้ว่าความสัมพันธ์ของหงส์ทองคำกับไท่ซวีเฟิ่งหลงนั้นจะละเอียดอ่อนอย่างมาก และไม่ชอบขี้หน้าซึ่งกันและกัน แต่ในตอนนี้โหมวเจินอดรู้สึกเสียใจแทนเผ่าหงส์ทองคำไม่ได้แล้ว
ทำไมถึงมีเรื่องประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นได้?
ทำพันธสัญญากับมนุษย์ไม่ว่า แต่ยังรับใช้เจ้านายตัวเดียวกับอินทรีสามตาตัวหนึ่งอีกเนี่ยนะ
แต่ประเด็นสำคัญเลยก็คือ ตนเองยังดูมีความสุขอย่างมาก?
โหมวเจินไม่เข้าใจ
เขารู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ
ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้เห็นถวนจื่อ ใช่ว่าภายในใจของเขาจะไม่มีคำถามขึ้น
ข้อแรกคือ นางอายุยังน้อยแต่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดอย่างมาก ข้อสองคือ นางจับชายเสื้อของผู้หญิงเผ่ามนุษย์คนนั้นจนแน่นอยู่ตลอดเวลา ท่าทางสนิทสนมอย่างมาก
เพียงแต่เมื่อครู่นี้เขาคิดถึงแต่เรื่องจัดการมรดกของบรรพบุรุษ จึงไม่มีเวลาคิดเรื่องเหล่านี้
แต่ใครจะรู้เล่าว่า เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ลูบศีรษะของถวนจื่อเบาๆ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้กับโหมวเจิน แล้วกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสโหมวเจิน ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ ถวนจื่อยังเด็กเกินไป นางไร้เดียงสาและใสซื่อ คำพูดของเด็กไม่อ้อมค้อม ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะเจ้าคะ”
มุมปากของโหมวเจินกระตุกขึ้น
คำพูดของเด็กไม่อ้อมค้อม…
เขามีชีวิตอยู่มาหลายปีแล้ว ไม่ยักจะรู้ว่าคำพูดเหล่านี้สามารถนำมาใช้กับหงส์ทองคำได้ด้วย!
โหมวเจินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลับตาลง แล้วกุมขมับด้วยความเจ็บปวด
ต่อให้ตอนนี้เขาไม่มีกายเนื้อ เขาก็ยังรู้สึกปวดหัวอย่างมาก!
เหมือนว่ากำลังมีคนเดินเข้ามาทางนี้
สีหน้าของโหมวเจินสงบขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบสายตาไปมอง
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวแลกเปลี่ยนสายตากัน
คนที่มาน่าจะเป็นคนที่เข้าร่วมการแข่งขันหมื่นคีรี และเป็นหนึ่งในสี่คนที่ยังอยู่ในที่แห่งนี้
แต่หลังจากผ่านไปสักพัก เสียงฝีเท้านั้นก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไป
เหมือนกับว่า…คนผู้นั้นกำลังเดินออกไป
หลังจากนั้นไม่นานเสียงฝีเท้าก็จางหายไป
คนผู้นั้นจากไปแล้ว
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองโหมวเจินทันที
หากคนเมื่อครู่นี้มาถึงที่นี่ บางทีเขาอาจจะได้รับมรดกแห่งบรรพบุรุษของโหมวเจิน
ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับจื่อเฉินที่เป็นบุคคลภายนอก การมอบให้กับทายาทรุ่นหลังจะเหมาะสมมากกว่า
อย่างไรก็ตามสีหน้าของโหมวเจินกลับดูสงบนิ่ง ราวกับว่า…เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ
“ความจริงแล้วหลายปีที่ผ่านมานี้ งานหมื่นคีรีได้จัดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งก็มีทายาทที่ท่าทางไม่เลวเข้ามาไม่น้อย และมีหลายคนที่เดินเข้ามาบริเวณใกล้เคียง ดั่งเช่นเมื่อครู่นี้”
ทันใดนั้นโหมวเจินก็พูดขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาเป็นอย่างมาก
“แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่จะเดินเข้ามาในป่าแห่งนี้ และมาถึงที่นี่อย่างแท้จริง”
ฉู่หลิวเยว่สามารถมองเห็นความอ้างว้างจากใบหน้าของเขา
ความจริงแล้วหากพิจารณาดูแล้ว ก็สามารถจะเข้าใจได้
ท้ายที่สุดแล้วโหมวเจินก็เป็นไท่ซวีเฟิ่งหลง หากเป็นไปได้ เขาก็อยากจะถ่ายทอดมรดกให้กับทายาทที่โดดเด่นที่สุด
ก็เป็นอย่างที่เขาพูด เขาไม่มีกายเนื้อแล้ว มรดกชิ้นนี้อยู่กับเขาไปก็ไม่มีประโยชน์
“จากการต่อสู้ในปีนั้น กายเนื้อของสูญสลาย พลังหมดสิ้น แม้ว่าในตอนนี้จะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ข้าก็ยังอยู่ติดกับทะเลสาบแห่งนี้ ไม่สามารถไปไหนได้”
“และอีกอย่าง เรื่องของวาสนา เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนที่สุด ต่อให้ขอร้องก็ยังไม่ได้มา ข้ากับเด็กเหล่านั้นล้วนไม่มีวาสนาต่อกัน”
เรื่องเหล่านี้ ความจริงแล้วโหมวเจินคิดตกตั้งนานแล้ว
แม้ว่าในใจจะมีความเสียใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ชีวิตคนเราก็ไม่ได้มีอะไรที่สมปรารถนาไปทุกอย่าง แม้แต่เขา ก็ไม่มีข้อยกเว้น
เขาหันมองทางจื่อเฉิน ในแววตาเหมือนมีระลอกคลื่นพวยพุ่งขึ้น
“ในหมู่ของคนรุ่นเยาว์ที่เข้ามาที่นี่ ไม่มีใครสามารถสังเกตได้ถึงการมีอยู่ของข้าเลย แต่เจ้า…แม้ว่าจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับข้า และอาจจะกล่าวได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับไท่ซวีเฟิ่งหลง แต่เจ้ากลับมาถึงที่นี่ได้…”
บางทีอาจจะเป็นลิขิตสวรรค์จริงๆ!
โหมวเจินพูดได้ครึ่งหนึ่งก็เงียบเสียงไป
ความจริงแล้วคำพูดเหล่านี้ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์
จื่อเฉินไม่ยินยอมรับมรดกนี้ อีกทั้งยังได้ทำพันธสัญญากับฉู่หลิวเยว่ไปแล้ว
ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้โหมวเจินละทิ้งความตั้งใจดั้งเดิม
แตงที่ฝืนเด็ดจากต้น ย่อมไม่หวาน[1]
แต่มีสิ่งเดียวที่เขาเสียดายก็คือ หลังจากวันนี้เป็นต้นไป เขาก็ไม่รู้ว่าต้องรอคอยไปอีกนานเท่าใด ถึงจะหาคนที่มาสืบทอดจนพบ…
หรงซิวพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า
“ผู้อาวุโสโหมวเจิน ท่านยินยอมที่จะอยู่ที่นี่ตลอดกาลจริงหรือ?”
โหมวเจินชะงักไป
แน่นอนว่าเขาไม่ยินยอม!
แค้นของโหมวหยาง เขายังไม่ได้ชำระเลย!
การสูญเสียของเขาก็ยังไม่ได้เอาคืน!
เพียงแต่ในตอนนี้เขาแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว การหาผู้สืบทอดนั้นเป็นเรื่องที่ยากและไม่เหมาะสม
“คำพูดของเจ้านี้…หมายความว่าอย่างไร?”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ได้ความอย่างไรขอรับ ขอพูดตามตรง ก่อนหน้านี้ประมุขโหมวหยางปฏิบัติต่อข้าและเยว่เอ๋อร์อย่างหยาบคาย เขาพูดกลางงานหมื่นคีรีวา ถ้าข้าและเยว่เอ๋อร์ไม่ลบความทรงจำในเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เขาก็จะกักขังเราอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต”
“ท่านเป็นทายาทที่ได้รับการสืบทอดมรดกบรรพบุรุษไท่ซวี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพรสวรรค์หรือเรื่องอื่นๆ ก็ล้วนเหนือกว่าโหมวหยาง เพียงแค่ท่านเปิดเผยความจริง ล้างมลทินในปีนั้น ตำแหน่งประมุขของเผ่า จะต้องเป็นของท่านอย่างแน่นอน! เมื่อถึงตอนนั้น ท่านก็สามารถนำของของตนเองกลับคืนมาได้ทั้งหมด ส่วนพวกค่ะก็จะออกจากเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์อย่างสง่าผ่าเผย ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ท่านว่าอย่างไร?”
โหมวเจินหรี่ตาเล็กน้อย
“เจ้าอยากจะเป็นพันธมิตรกับข้าหรือ?”
หรงซิวพูดด้วยรอยยิ้มอย่างตรงไปตรงมา
“หากสามารถเจรจากับท่านได้ด้วยดี ก็นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดของข้า”
โหมวเจินหลับตาลง
ภาพในอดีตจำนวนนับไม่ถ้วน ปรากฏขึ้นมาในสมอง
หลังจากนั้น เขาก็พูดขึ้นเสียงต่ำว่า
“…ข้าไม่มีกายเนื้อ หากออกจากที่นี่ จุดจบของข้าก็คือวิญญาณแตกสลาย”
หรงซิวถามขึ้นว่า
“หากพวกเราช่วยให้ท่านมีกายเนื้อได้อีกครั้งล่ะ?”
[1]แตงที่ฝืนเด็ดจากต้น ย่อมไม่หวาน (สำนวนจีน) หมายถึง การบังคับฝืนใจคนอื่นให้ทำอะไรที่เขาไม่อยากจะทำ ย่อมไม่เกิดผลดี
………………..