ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1757 วิธีการของเจ้า
ตอนที่ 1757 วิธีการของเจ้า
………………..
ด้านนอกวิหารไท่ซวี ทุกคนก็กำลังรอคอยอยู่
ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปยี่สิบกว่าวันแล้ว ยังเหลืออีกคนที่ยังไม่ออกมา
โหมวหยางนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตนเอง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ
บรรยากาศในจัตุรัสก็ร้อนแรงขึ้นมาก
เพราะว่าสามคนก่อนหน้านี้ที่เพิ่งออกมาล้วนได้รับมรดกที่ไม่เลวเลย
ตั้งแต่คนแรกที่ออกมา จนกระทั่งเหลือห้าคนสุดท้าย พวกเขาทั้งสี่สามารถทำผลงานได้ดีที่สุด
ดังนั้นทุกคนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
เพียงแต่ว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาด คนสุดท้ายก็จะได้รับมรดกออกมา และงานหมื่นคีรีก็จะเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์
แม้ว่าจะเทียบกับงานหมื่นคีรีครั้งก่อนๆ ไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าความกังวลว่าจะไม่ได้อะไรเลยอย่างในตอนแรก
ทั่วทั้งจัตุรัสแห่งนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าผ่อนคลายและยินดี คนกลุ่มเล็กๆ กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่
“นี่ก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว โหมวซูก็ยังไม่ออกมาอีก เขาน่าจะได้รับมรดกระดับสูงที่สุดละมั้ง!”
“ข้าว่าน่าจะใช่! งานหมื่นคีรีครั้งก่อนๆ คนที่ออกมาเป็นคนสุดท้ายมักจะโดดเด่นมากที่สุด! และครั้งนี้โหมวซูก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้น! เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ก่อนหน้านี้โหมวเซิงที่ออกมาเป็นคนแรกและได้รับมรดกมาด้วย นับว่าเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอันใด…”
ทันใดนั้นคนที่อยู่ด้านหลังก็แค่นหัวเราะออกมาด้วยท่าทีประหลาด
“นั่นก็ไม่แน่หรอก!”
กลุ่มคนเงียบไปครู่หนึ่ง
คนที่พูดคนนั้นเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาธรรมดา สีหน้าไม่พอใจ
“คนที่จะได้รับมรดกที่ดีจากวิหารไท่ซวีนั้น จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถระดับหนึ่ง ซึ่งมันส่งผลกระทบกับอนาคตของคนคนหนึ่ง แต่นั้นก็ไม่เสมอไป! คนบางคนถูกลิขิตให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ต่อให้ครั้งนี้เขาแสดงผลงานได้ไม่ดี แต่หลังจากนี้เขาก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้นมาแน่นอน! แต่บางคนแม้ว่าจะได้รับความรุ่งโรจน์ชั่วคราว แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้น มันก็ยังไม่แน่!”
ตั้งแต่ที่โหมวเซิงได้รับมรดกของบรรพบุรุษมา เขาก็ดีใจแล้วภาคภูมิใจมาโดยตลอด แต่หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็รู้สึกระคายหูอย่างมาก
“พวกเจ้าอย่าลืมนะว่า ในปีนั้นประมุขของพวกเราไม่ใช่คนสุดท้ายที่ออกมา แต่ตอนนี้…”
เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็น และไม่ได้พูดอะไรต่อ
แต่ความหมายของประโยคนี้ ทุกคนกลับสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน
มีคนบางกลุ่มที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และหันไปมองโหมวหยางอย่างไม่รู้ตัว
ความจริงแล้วคำพูดนี้ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ…
ในปีนั้น ประมุขโหมวหยางเข้าร่วมงานหมื่นคีรีพร้อมกับคนผู้นั้น อีกทั้งยังเข้าไปในวิหารไท่ซวีพร้อมกันด้วย!
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ในงานหมื่นคีรีครั้งนั้น คนที่ได้ออกมาเป็นคนสุดท้าย ก็คือคนผู้นั้น!
โหมวเจิน!
ชื่อนี้กลายเป็นคำต้องห้ามภายในเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง
ทุกคนต่างเมินเฉยต่อชื่อนี้โดยไม่รู้ตัว เหมือนกับว่าไม่เคยมีคนชื่อนี้มาก่อน
แม้กระทั่งเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขา ทุกคนก็รู้สึกอ่อนไหวอย่างมากและไม่พูดถึงมันเลย
ตอนนี้ท่านประมุขได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว…
เหมือนกับเขาสามารถสัมผัสได้ว่าบรรยากาศนั้นมีอะไรผิดปกติไป คนที่พูดจึงตกใจขึ้นมาในทันที และค่อย ๆ หันไปมองโหมวหยางด้วยความหวั่นวิตกไม่สบายใจ
โหมวหยางก็มองมาทางนี้พร้อมรอยยิ้มจางๆ
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง”
“ถ้าไม่ถึงตอนสุดท้าย ก็ไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นคนฆ่ากวางได้ คนที่สามารถหัวเราะได้เป็นคนสุดท้าย ถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ไม่มีใครมีสิทธิ์พูดได้กว่าโหมวหยางอีกแล้ว
แต่ใครจะรู้เล่าว่า ต่อมาจะเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้น…
ความวุ่นวายเหล่านี้กลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างรวดเร็ว ทุกคนรีบเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยทันที
โหมวหยางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ถอนสายตากลับมา ดวงตาหลุบลงต่ำเล็กน้อย
โหมวเจิน…
ต่อให้คนผู้นั้นจะตายไปเป็นพันปีแล้ว แต่เมื่อนึกถึงชื่อของคนผู้นี้ขึ้นมา ความเคียดแค้นและรังเกียจก็พวยพุ่งขึ้นมาเต็มอกอย่างไม่สามารถควบคุมได้!
ในความทรงจำหลายปีที่ผ่านมาของเขา เขาใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาดำของโหมวเจินมาตลอด
เมื่อพูดถึงพรสวรรค์ คนที่ได้รับสืบทอด อนาคต และเมื่อกวาดตามองทั่วทั้งเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง คนแรกที่เขานึกถึงก็คือโหมวเจินอย่างแน่นอน!
ส่วนโหมวหยาง แม้กระทั่งชื่อยังไม่มีคนจดจำเลย
วันเวลาเหล่านั้น เขาอยู่มานานพอแล้ว!
ยังดีที่สุดท้ายโหมวเจินตายแล้ว ตำแหน่งประมุขแห่งเผ่าก็กลายมาเป็นของเขา
ทุกคนค่อยๆ หลงลืมชื่อของคนผู้นั้น และยกชื่อของเขาให้สูงขึ้น เพื่อที่จะไล่ตามคนผู้นั้น
ทั้งหมดนี้เป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว
มรดกแห่งบรรพบุรุษ จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังหามันไม่พบ
เขารู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
ความจริงแล้วมรดกที่เขาได้รับมาในปีนั้นก็ไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายเมื่อเทียบกับโหมวเจินแล้ว ก็ยังต่างกันราวฟ้ากับเหว
ท้ายที่สุดแล้วทั้งเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง หมื่นปีก็ยังมองแค่โหมวเจินคนเดียวที่ได้รับมรดกแห่งบรรพบุรุษ!
แน่นอนว่าภายในใจของโหมวหยางรู้สึกริษยาเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา เขาแทบจะทำทุกวิถีทางแล้ว
น่าเสียดาย…
โหมวหยางเลิกคิดเรื่องนี้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองวิหารไท่ซวีที่อยู่ตรงหน้า
“ไท่ซวีเฟิ่งหลงเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาล หากกายเนื้อถูกทำลายไปแล้ว ก็ไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืนมาได้ ในจุดนี้ แม้กระทั่งเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ เผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างเจ้า ไปเอาความกล้ามาจากที่ใด ถึงพูดออกมาว่าจะช่วยสร้างกายเนื้อให้ข้าใหม่?”
หลังจากหรงซิวพูดประโยคนั้นจบ ทุกอย่างก็พลันเงียบสงัด
โหมวเจินจมอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง จากนั้นก็โต้เถียงขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อว่าหรงซิวจะมีความแข็งแกร่งขนาดนี้
ปฏิกิริยาของเขานั้นก็อยู่ในการคาดเดาของหรงซิวอยู่แล้ว
เขาเดินมาด้านหน้าหนึ่งก้าว สีหน้าราบเรียบเป็นอย่างมาก
“เผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงทำไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะทำไม่ได้”
ในตอนนั้นมีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นมาในสมองของโหมวเจิน
บ้า!
เขากลับหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า
“หื้ม? เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาสิว่า เจ้ามีความสามารถและความมั่นใจอย่างไร ถึงมาพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้าได้?”
หรงซิวยกมือขึ้น
เปลวเพลิงสีทองกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของเขา!
อุณหภูมิรอบข้างเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย!
สีหน้าของโหมวเจินชะงักค้างไป ดวงตาจดจ้องที่เปลวไฟกลุ่มนั้น!
“ท่านน่าจะยังไม่รู้ คนที่หลอมคราบเลือดของท่านที่เหลือภายในยอดเขาสัตตบงกชนั้น ไม่ใช่จื่อเฉิน แต่เป็นข้า”
แน่นอนว่าจื่อเฉินก็สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ แต่ถูกเขาแย่งหน้าที่ไปเสียก่อน
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในที่สุดสีหน้าของโหมวเจินก็เปลี่ยนแปลงไป
หรงซิวพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า
“และอีกอย่าง ตอนที่ข้ากับเยว่เอ๋อร์มาถึงที่นี่นั้น ได้เหยียบแผ่นจานหยกที่ใช้ในการทดสอบของงานหมื่นคีรีจนแตก แต่ท่านไม่ต้องกังวล ข้าได้ซ่อมแซมให้มันกลับอยู่ในสภาพเดิมแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ริมฝีปากของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ทุกคำพูดที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้ล้วนเป็นความจริง ไม่ทราบว่าเรื่องเหล่านี้จะสามารถโน้มน้าวใจท่านได้หรือไม่?”
โหมวเจินไม่สงสัยว่าเรื่องที่หรงซิวพูดไปนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ
เรื่องทั้งสองนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้ จริงเท็จแล้วอย่างไร แค่สืบดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ดังนั้นเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องโกหก
ถ้าเช่นนั้น…
เขามีความสามารถจริงหรือ?
โหมวเจินเงียบไปอยู่นาน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“แม้ว่าข้าจะเชื่อเจ้า แล้วเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร? ต้องบอกก่อนว่าในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีกระดูกของสัตว์อสูรชนิดใด สามารถมาทดแทนและสร้างกายเนื้อให้แก่ไท่ซวีเฟิ่งหลงได้!”