ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1760 งานหมื่นคีรีสิ้นสุด
ตอนที่ 1760 งานหมื่นคีรีสิ้นสุด
………………..
โหมวเจินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกมา!
ไอน้ำสีขาวควบรวมกลายเป็นเงาร่าง ภาพมายานั้นค่อยๆ เดินห่างจากพื้นน้ำของทะเลสาบออกมา ก่อนจะเดินมายังโครงกระดูกที่นอนอยู่ริมทะเลสาบอย่างเงียบงัน
เขาเดินเข้าไปในโครงกระดูกนั้นอย่างไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย!
หมอกสีขาวเหล่านั้นกระจายและปกคลุมโครงกระดูกเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว!
ในขณะเดียวกันนั้นหรงซิวก็เริ่มลงมือ!
“เยว่เอ๋อร์!”
เขาตะโกนออกมาหนึ่งเสียง ซึ่งฉู่หลิวเยว่ก็สามารถเข้าใจได้ในทันที นางหยิบสมุนไพรจำนวนมากออกมาจากแหวนเฉียนคุน
ตู้ม!
เปลวเพลิงสีทองคำชาดลูกหนึ่งลอยออกมา จากนั้นนางก็โยนสมุนไพรนานาชนิดเข้าไปด้านในนั้นอย่างต่อเนื่อง!
ชั่วพริบตาเดียวสมุนไพรร้อยกว่าชนิดก็ถูกโยนเข้าไปด้านในแล้ว!
หากเป็นคนธรรมดา เกรงว่าเขาคงดูจนตาลายและยากที่จะแยกแยะ
การกระทำของฉู่หลิวเยว่ลื่นไหลดุจสายน้ำ หมดจดเฉียบขาดเป็นอย่างมาก!
หลังจากนั้นไม่นาน สมุนไพรแต่ละชนิดก็ถูกหลอมจนสำเร็จตามลำดับ
กลิ่นยาที่หอมขมและเข้มข้นแพร่กระจายออกมาจากด้านใน
การสร้างกายเนื้อให้โหมวเจินขึ้นมาใหม่ เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลายาวนานมาก ซึ่งในระหว่างนั้น ต้องเพิ่มสมุนไพรแต่ละตัวในระยะเวลาที่แตกต่างกัน
เพื่อให้มั่นใจว่าภายในกระบวนการนี้จะไม่เกิดข้อผิดพลาด หรงซิวจึงมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องหลอมกระดูก ส่วนเรื่องสมุนไพรเขายกหน้าที่นี้ให้แก่ฉู่หลิวเยว่
ก่อนหน้านี้หรงซิวเคยพูดไว้แล้วว่าเขาต้องการสมุนไพรชนิดใดบ้าง ยังดีที่ฉู่หลิวเยว่มีสมุนไพรเหล่านั้นครบทุกชนิด จึงสะดวกขึ้นมาก
ฉู่หลิวเยว่สะบัดมือของตนเอง ภายในเปลวเพลิงมีสมุนไพรสามชนิดที่หลอมเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนางก็โยนลงไปในเปลวเพลิงสีทองคำชาดอย่างรวดเร็ว!
“หญ้าสิ้นวิญญาณ”
“โหราเดือยไก่”
“กระดองภูเขาเทียนเซ่อ”
…
ทุกอย่างดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น
พวกเขารู้ใจกันเป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อร่วมมือกันแล้ว จึงสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก
หรงซิวไม่จำเป็นต้องอธิบายอย่างละเอียด ฉู่หลิวเยว่ก็รู้ว่าสมุนไพรเหล่านั้นแตกต่างกัน สมุนไพรแต่ละตัวต้องหลอมอย่างไร ควรจะใส่ในเวลาไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด
ส่วนหรงซิว เขาจ้องมองโครงกระดูกส่วนนั้นตาเขม็งตั้งแต่แรก แม้กระทั่งศีรษะยังไม่หันกลับมาเลย
เขารู้ดีว่าไม่มีใครสามารถทำได้ดีไปกว่านางอีกแล้ว
…
แม้ว่ากระบวนการทั้งหมดจะซับซ้อนเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังต้องสิ้นเปลืองพลังงานและสมาธิ แต่เมื่อทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็สามารถแบ่งเบาภาระของกันและกันลงไปได้ไม่น้อย
ด้วยสาเหตุนี้ ทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นเกินกว่าที่คิดกว่า
ลมปราณบนกระดูกนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน ปีกทั้งสองข้างของจื่อเฉินก็มีแสงสว่างเจิดจ้ามากขึ้น!
เขาหลับตาลง
ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกาย
ในตอนแรกเขาก็ยังไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ความรู้สึกเจ็บปวดก็เพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น
จื่อเฉินรู้ดีว่า ความเจ็บปวดเหล่านี้ไม่ได้เกิดเพราะเขาได้เจอกับอันตราย อีกทั้งไม่ได้เป็นสัญญาณที่เลวร้ายอะไร
ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ที่เดิมเช่นนั้น ปล่อยความเจ็บปวดภายในร่างกายค่อยๆ ทวีคูณขึ้นอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งร่างกายของเขาเองเกิดการสั่นสะท้านเล็กน้อย!
ถวนจื่อสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ได้อย่างรวดเร็ว
เดิมทีนางกำลังรู้สึกทรมานอยู่กับการที่จะถูกจื่อเฉินแซงหน้า ดังนั้นนางจึงจดจ่ออยู่กับความคิดของตัวเอง แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็สามารถสังเกตถึงความผิดปกติของจื่อเฉินได้อย่างรวดเร็ว
นางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปหา
“เจ้าๆ เจ้าเป็นอันใดไปหรือ?”
แม้ว่านางจะเห็นว่าจื่อเฉินเป็นคู่ต่อสู้ของตนเองมาโดยตลอด อีกทั้งยังอยากจะเอาชนะอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ นางก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
จื่อเฉินลืมตาขึ้นมา
“ข้าไม่เป็นไร”
ถวนจื่อเบิกตากว้างขึ้น ก่อนจะกวาดสายตาขึ้นลงอย่างสำรวจ
ไม่เป็นไรงั้นหรือ?
เมื่อดูไปแล้ว ไม่เหมือนกับไม่เป็นไรเลยนะ?
แม้ว่าลมปราณบนร่างกายของจื่อเฉินยังคงเพิ่มสูงขึ้นอยู่ แต่ท่าทางของเขาเหมือนกับกำลังได้รับความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก…
“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”
เมื่อเห็นถวนจื่อยังยืนอยู่ตรงหน้าเช่นเดิม จื่อเฉินก็พูดซ้ำอีกรอบ
แต่ในครั้งนี้น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวมากขึ้น
ท้ายที่สุดแล้วจื่อเฉินก็มีอายุมากกว่าถวนจื่อเป็นพันปี ดังนั้นจึงรู้เป็นอย่างดีว่าควรจะใช้วิธีการใดถึงจะสามารถทำให้ถวนจื่อสงบลงได้
และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อถวนจื่อได้ยินดังนั้น นางจึงหดคอลงเล็กน้อย
“เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า…”
ถวนจื่อหันศีรษะไปมองฉู่หลิวเยว่
อาเยว่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญ จึงไม่สามารถหันมาสนใจทางนี้ได้
จื่อเฉินเหลือบสายตามองนาง
นางชอบทำตัวเป็นศัตรูต่อเขาอยู่เสมอ แต่การกระทำอย่างวันนี้ ช่างหาได้ยากนัก
เมื่อถวนจื่อถูกมองอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางก็ยืดอกเงยหน้าขึ้น
“มองอันใดเล่า? ข้ากำลังรอให้เจ้ากลายมาเป็นน้องชายของข้าอยู่!”
ถวนจื่อหลับตาลงอีกครั้ง
สำหรับคนบางคนแล้วไม่ควรสนใจแต่ภาพลวงตาเหล่านั้น
ความเจ็บปวดภายในร่างกายของเขาทวีคูณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ในครั้งนี้ร่างกายของไม่ได้สั่นสะท้านอีกต่อไปแล้ว
เขากำลังกินความเจ็บปวดและทรมานทั้งหมดลงไป
หากดูจากภายนอกแล้ว เหมือนว่าสถานการณ์ของเขาจะดีขึ้นไม่น้อย
เมื่อถวนจื่อเห็นดังนั้น นางจึงวางใจและรอคอยอยู่ด้านข้างอย่างอดทน
…
ตึง!
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกแล้ว เงาร่างสายหนึ่งออกมา!
ภายในชั่วพริบตาเดียวก็ปรากฏแก่สายตาของทุกผู้คน!
ทุกคนที่กำลังรอคอยอยู่ภายในจัตุรัสล้วนรู้สึกตื่นเต้นยินดีกันขึ้นมา!
“รีบมาดูเร็ว! ผู้เข้าร่วมคนสุดท้ายออกมาแล้ว!”
“นี่เขาใช้เวลาเกือบเดือนเลยไม่ใช่หรือ สามารถอยู่ด้านในได้นานขนาดนั้น เขาคงจะได้รับมรดกระดับสูงสุดมาแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าเดาว่าใช่! ที่หนึ่งของงานหมื่นคีรี…ทำให้ผู้คนรู้สึกริษยาจังเลยนะ!”
…
“โหมวซู”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น โหมวซูก็ประสานมือทำความเคารพทักทายโหมวหยาง
“คารวะท่านประมุข!”
โหมวหยางถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่จำเป็นต้องมากมารยาท งานหมื่นคีรีในครั้งนี้เจ้าออกมาเป็นคนสุดท้าย ถือว่าแสดงผลงานได้ดีมาก”
โหมวซูได้ยินดังนั้นก็ยืดหลังตรง ใบหน้าปกปิดความภาคภูมิใจไว้ไม่มิด
“ขอบคุณท่านประมุขที่กล่าวชม!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา ทุกคนก็รู้ว่าการคาดเดาของพวกเขาก่อนหน้านี้ได้รับการยืนยันแล้ว
เขาจะต้องได้รับมรดกที่ยอดเยี่ยมมาอย่างแน่นอน!
โหมวหยางสาวเท้าแล้วเดินไปตรงหน้าโหมวซู
เมื่อยืนอยู่ตรงนี้ เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ลมปราณบนร่างกายของโหมวซูเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด!
เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ตบที่ไหล่ของโหมวซู
“เจ้า…ไม่เลวเลย!”
เขาไม่ได้ถามว่าโหมวซูมรดกจากบรรพบุรุษท่านใด
เพราะนี่คือกฎของงานหมื่นคีรี
ทุกคนสามารถสัมผัสได้ว่าลมปราณของพวกเขานั้นเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นก็จึงทำได้เพียงคาดเดาถึงลำดับของมรดกชิ้นนั้น
นอกเสียจากอีกฝ่ายจะเป็นคนพูดออกมาเอง ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะไม่มีทางถามอย่างเด็ดขาด
ดังนั้นแม้ว่าทุกคนจะรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าโหมวซูได้มรดกจากบรรพบุรุษท่านใด แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปถามโดยตรง
โหมวหยางกล่าวชื่นชมเขาอีกหลายประโยค ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ในเมื่อทุกคนออกมาหมดแล้ว เช่นนั้นงานหมื่นคีรีในครั้งนี้ก็ได้ปิดฉากอย่างสมบูรณ์แล้ว!”
ทุกคนต่างแซ่ซ้องยินดีพร้อมกัน
โหมวหยางยิ้มแล้วหันไปมองผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้าง
“รบกวนผู้อาวุโสทั้งหลายช่วยข้าปิดวิหารไท่ซวีด้วยเถอะ”