ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1761 เปิดเผย
ตอนที่ 1761 เปิดเผย
………………..
ผู้อาวุโสหลายท่านเดินตามโหมวหยางขึ้นไปด้านหน้า
โหมวหยางยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูบานใหญ่ กลั้นลมหายใจ จากนั้นก็ผายแขนทั้งสองข้างขึ้น
พลังรอบกายของเขาเริ่มพวยพุ่งขึ้นมา!
ลำแสงแสบตาสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขา
ผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ก็ลงมือในเวลาเดียวกัน
หลังจากนั้นไม่นานลำแสงหลายสายก็รวมตัวกัน! จนก่อตัวเป็นสัญลักษณ์ประหลาดกลางอากาศ
ซึ่งนั่นคือสัญลักษณ์ของไท่ซวีเฟิ่งหลง!
“ผนึก!”
โหมวหยางตะโกนขึ้นเสียงดังพร้อมกับผลักสัญลักษณ์นั้นออกไป!
สัญลักษณ์ขนาดใหญ่และส่องสว่างค่อยๆ ลอยไปยังประตูบานใหญ่อย่างเชื่องช้า!
หลังจากนั้นไม่นานสัญลักษณ์นั้นก็ตกกระทบกับประตูบานนั้น!
ตึง!
เสียงสั่นสะเทือนสนั่นหวั่นไหวดังมาจากวิหารไท่ซวี!
ทุกคนภายในจัตุรัสนั้นโค้งคำนับทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง
แต่ในตอนนั้นเอง โหมวหยางกลับพบว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติไป สัญลักษณ์แห่งนั้นยังไม่ได้ประสานเข้ากับประตู!
เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยและลอบถ่ายเทพลังเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตามสัญลักษณ์นั้นยังคงอยู่ห่างจากประตูประมาณหนึ่งนิ้ว และไม่มีทีท่าที่จะเดินหน้าเข้าไปด้านในต่อ
เหมือนกับว่ามีสิ่งกีดขวางบางอย่างที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่ด้านหน้าประตู
ภายในใจของโหมวหยางรู้สึกเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา
“ก่อนหน้านี้ที่พวกเราปิดด้วยกัน มันยังปิดได้อยู่เลย และไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ครั้งนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“…หรือว่า…มีคนยังไม่ออกมา?”
คำพูดของผู้อาวุโสผมสีขาวดอกเลาดึงดูดความสนใจของทุกคน และยังทำให้โหมวหยางขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
เขาหันหน้ากลับไปมองผู้อาวุโสคนนั้น
“ผู้อาวุโสฝูซาน นี่ท่านหมายความว่าอย่างไรหรือ?”
ผู้อาวุโสฝูซานเป็นผู้อาวุโสชราภายในเผ่าของพวกเขา เขามีอายุมากกว่าโหมวหยางไม่น้อย ซึ่งเป็นคนที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งที่สุดภายในเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง
“ประตูของวิหารไท่ซวีปฏิเสธการปิดผนึก โดยพื้นฐานแล้วมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือด้านในยังมีคนอยู่ เรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะทำอย่างไรประตูก็ไม่สามารถปิดลงได้ หลังจากที่เข้าไปตรวจสอบแล้ว ถึงได้รู้ว่ายังมีตกค้างอยู่ด้านในอีกหนึ่งคน จนกระทั่งหลายวันต่อมาเขาได้ออกมาจากด้านในแล้ว เรื่องนี้จึงสามารถยุติได้อย่างราบรื่น”
โหมวฝูซานลูบเคราของตนเอง
“ข้าจึงมีความเห็นว่า ควรจะเข้าไปตรวจสอบด้านในก่อนจะดีกว่า”
โหมวหยางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นก็หมุนตัวแล้วออกคำสั่งว่า
“ตรวจสอบคนที่ออกมาก่อนหน้านี้สิ”
ผู้ใต้บังคับบัญชารีบตอบรับว่า
“ขอรับ!”
ผู้อาวุโสบางคนยังคงขมวดคิ้วแน่นเช่นเดิม
เพราะว่าพวกเขาจำได้อย่างแม่นยำว่า ทุกคนที่เข้าไปล้วนออกมาหมดแล้ว โหมวซูที่ออกมาก่อนหน้านี้ เป็นคนสุดท้ายแล้วจริงๆ
ตามหลักการแล้วภายในวิหารไท่ซวีควรจะไม่เหลือใครแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนที่เข้าไปในวิหารไท่ซวีก็ถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมด โดยมีผู้อาวุโสสองท่านช่วยกันนับ
หลังจากตรวจนับเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็พบว่า จำนวนคนที่ออกมานั้นถูกต้องแล้ว!
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนแปลงไปทันที
แม้กระทั่งหัวใจของโหมวหยางก็จมดิ่งลง!
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองวิหารไท่ซวีอีกครั้ง!
ยังมีคนที่อยู่ด้านใน แต่เขากลับไม่รู้เลยน่ะหรือ!
…
ริมทะเลสาบ
ใต้เงาร่มไม้ใหญ่ ผิวน้ำกระเพื่อม มีเพียงความเงียบงัน
ฉู่หลิวเยว่ยกข้อมือขึ้น จากนั้นก็ผสมสมุนไพรส่วนสุดท้ายลงไป
ทรายแดงสีชาดจำนวนหนึ่งหล่นลงไปบนเปลวเพลิงสีทองคำชาดอย่างแผ่วเบา!
เปรี้ยง!
เปลวเพลิงโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม!
บนกระดูกสีขาวสามารถมองเห็นเลือดเนื้อและเส้นเอ็นที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ และเลือนราง!
ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่เคยช่วยจื่อเฉินสร้างกายเนื้อขึ้นมาใหม่แล้ว แต่ครั้งนี้ได้เห็นหรงซิวลงมือ ดังนั้นนางจึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นจื่อเฉินใช่เพียงกระดูกสองข้างของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง แต่แทบจะทำให้นางสูญเสียพลังปราณทั้งหมดของร่างกาย
ในตอนนี้หรงซิวกำลังสร้างกายเนื้อให้กับไท่ซวีเฟิ่งหลงตัวจริง!
หรงซิวมีสีหน้าราบเรียบ เปลวเพลิงสีทองส่องสะท้อนเข้ากับดวงตาของเขา เปลวเพลิงเหล่านั้นกำลังแผดเผา
ผลลัพธ์ของสมุนไพรทุกชนิดค่อยๆ แทรกซึมลงไปภายในกระดูกส่วนนั้น
กลิ่นหอมของสมุนไพรที่ขมและเข้มข้นผสมเข้ากับกลิ่นคาวเลือดจางๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ภายในเปลวเพลิงเหล่านั้นก็มีเกล็ดสีม่วงทองส่องสว่างวาบเข้ามา!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกวูบ
นั่นมันเกล็ดของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง!
กร๊อบ…
หัวใจของนางร่วงไปอยู่ถึงตาตุ่ม จากนั้นก็รีบหันกลับไปมองทันที ลำแสงสีม่วงทองสายหนึ่งระเบิดออกจากปีกทั้งสองข้างของจื่อเฉิน!
หลังจากนั้นลำแสงที่ว่านั่นก็ปกคลุมทั่วร่างของเขาเอาไว้!
“จื่อเฉิน!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ตอนนี้นางสามารถสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของจื่อเฉิน
แต่นางไม่สามารถไปขวางทางได้!
ถวนจื่อที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก นางเบิกตากว้างขึ้นมอง
เมื่อครู่นี้…เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?
ปีกของจื่อเฉิน…
นางหันกลับไปมองทางฉู่หลิวเยว่ในทันที
“อาเยว่! จื่อเฉิน เขา…”
“เขาไม่เป็นไร”
ฉู่หลิวเยว่ลากถวนจื่อเข้ามา ก่อนจะลูบศีรษะนาง แล้วพูดปลอบโยนเสียงเบา
“หลังจากผ่านไปสักพักก็จะดีขึ้นเอง”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แน่วแน่ของนาง หัวใจที่เคยว้าวุ่นสับสนก็สงบลงได้ในทันที
ตอนที่นางได้เห็นภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ นางก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่ลูบใบหน้าของนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ดูไม่ออกเลยว่าถวนจื่อจะเป็นห่วงจื่อเฉินด้วย”
ถวนจื่อนึกถึงสถานะของตนเองขึ้นมาได้ จึงรีบพูดว่า
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว! หากเขาเป็นอันใดขึ้นมา อาเยว่จะต้องเสียใจมากเลยไม่ใช่หรือ? แล้วอีกอย่างข้ากำลังรอจะได้เป็นพี่ใหญ่ของเขาอยู่นะ!”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ
ถวนจื่อร่าเริงไร้เดียงสา แม้ว่าจะชอบโอ้อวด แต่นางก็ปฏิบัติต่อคนของตนเองอย่างดีเสมอมา
โดยปกติแล้วนางจะชอบหาเรื่องก่อกวนจื่อเฉิน แต่ถึงคราวสำคัญ นางก็ยังเป็นห่วงเป็นใยจื่อเฉินอยู่
เพียงแต่ว่า…
หากนางอยากจะเป็นพี่ใหญ่ของจื่อเฉิน เกรงว่าเรื่องนี้จะยากไปเสียหน่อย…
ฉู่หลิวเยว่เบี่ยงสายตาออกเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองลำแสงสีม่วงท้องที่ปกคลุมทั่วร่างของจื่อเฉิน
แม้ว่าขั้นตอนเหล่านี้จะเจ็บปวดทรมานมาก แต่หากสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ จื่อเฉิน
เปรี้ยง!
เสียงกึกก้องกัมปนาทดังลงมาจากฟากฟ้า!
ลมปราณที่อันตรายอย่างยิ่งพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว!
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง
แต่นางกลับได้ยินเพียงเสียงที่ดังอย่างรุนแรงจากระยะไกล
“ใครกันที่ใจกล้าบุกเข้ามาในวิหารไท่ซวี? ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นแน่น
โหมวหยาง!